นิวคาสเซิ่ล เคยได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จและเล่นเกมรุกสนุกสนานที่สุดทีมหนึ่งของสมรภูมิพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะช่วงกลางยุค 90 ที่เคยมีลุ้นเบียดแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปัจจุบัน “สาลิกาดง” กลายเป็นทีมที่ดำผุดดำว่ายระหว่างพรีเมียร์ลีกกับแชมเปี้ยนชิพ ไม่เหลือลายความร้ายกาจในอดีตให้สาวกทูน อาร์มี่ได้ไฝ่ฝันถึงความสำเร็จกันอีกแล้วนับตั้งแต่ ไมค์ แอชลี่ย์ เข้าซื้อกิจการของสโมสรเมื่อปี 2007 นิวคาสเซิ่ล ก็ไม่เคยได้ลืมตาอ้าปากและมองเห็นความสำเร็จในรูปแบบโทรฟี่อีกเลย นักธุรกิจคนดังใช้สโมสรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นเส้นทางหาเงินบำเรอตัวเอง และไม่ได้จริงจังกับผลงานในสนามแต่อย่างใด
แอชลี่ย์ สัญญาด้วยวาจากับ ราฟาเอล เบนิเตซ เสียดิบดีว่าจะสนับสนุนทุนทรัพย์ในการตกแต่งขุมกำลังหลังหวนคืนพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม “เอล บอส” ลิสต์รายชื่อนักเตะที่ต้องการคว้าเข้ามาเสริมทัพให้กับทีมงานบริหารนานมากแล้ว แต่การดำเนินการขั้นตอนต่อไปกลับยืดเยื้อ ช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดนักเตะ เบนิเตซได้รับคำสั่งให้เคลียร์นักเตะค่าเหนื่อยแพงๆอย่าง ทิม ครูล, เซียม เด ยอง, เอมมานูเอล ริวิเยร์ และแกรนท์ แฮนลี่ย์ เพื่อเปิดทางให้กับนักเตะรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ทว่าทางสโมสรกลับไม่สามารถคว้าตัว เคเนดี้ และแม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ ซึ่งเป็นนักเตะที่ราฟาต้องการ
กระบวนการทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด เช่นเดียวกับผลลัพธ์ของตลาด
นั่นอาจเป็นแผนที่ แอชลี่ย์ คิดเอาไว้แต่แรกแล้ว การใช้วาจาสวยหรูเสนอโครงการที่มันดูแพงเป็นเพียงการ “ซื้อใจ” เอล บอสให้อยู่ทำทีมต่อ เพราะนี่คือกุนซือที่ภาพลักษณ์ยอดเยี่ยมสำหรับสโมสรอย่างนิวคาสเซิ่ล