ในที่สุดเกม “แดงเดือด” นัดแรกอย่างเป็นทางการของฤดูกาลนี้ก็มาถึงแล้ว หลังจากที่ ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดรัง แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคมนี้ โดยที่สถานการณ์ของ 2 คู่อริสุดเดือดแห่งวงการลูกหนังเมืองผู้ดีกำลังต่างกันสุดกู่
ลิเวอร์พูล กำลังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนนำเป็นจ่าฝูงของลีกหลังจบนัดที่ 16 (ในโปรแกรมนัดที่ 17 พวกเขาอาจจะโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว หลังจากที่ “เรือใบสีฟ้า” มีคิวลงเล่นก่อน) แถมล่าสุดยังเพิ่งเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย จากการเอาชนะ นาโปลี 1-0
ในทางกลับกัน แมนฯ ยูไนเต็ด โชฃว์ฟอร์มได้ย่ำแย่จนส่อแววหมดลุ้นแชมป์ลีกตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาลดี แถมแค่จะลุ้นติด 4 อันดับแรกของตารางคะแนนก็ยังยากด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องนอกสนามก็มีแต่ข่าวไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีส กับ ปอล ป็อกบา กองกลางคนดัง
แน่นอนว่ามองแค่เรื่องนี้ก็พอจะเห็นความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเจาะลึกเข้าไปถึงเรื่องสถิติในด้านต่างๆ แล้วล่ะก็ เราก็จะเห็นกันชัดเจนขึ้นว่าระหว่าง “หงส์แดง” กับ “ปีศาจแดง” มันต่างกันแค่ไหน และวันนี้เราจะเอาสถิติแบบเป็นทางการในฤดูกาลนี้จาก สกายสปอร์ตส์ สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดีมาโชว์ให้เห็นถึงเรื่องนั้นเลย
– เกมรุก
34 ประตูในลีกของ ลิเวอร์พูล กับ 28 ลูกในลีกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะเห็นว่าเกมรุกของพวกเขาไม่ได้มีคุณภาพต่างกันมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น คุณภาพในการเล่นเกมรุกของพวกเขามันต่างกันชัดเจน
ลิเวอร์พูล ทำได้เหนือกว่าคู่อริตัวฉกาจเยอะพอตัวทั้งด้านการจ่ายบอลทะลุช่อง, การทำประตูจากลูกโหม่ง, การเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จ และการสร้างโอกาสทำประตูสวยๆ โดยด้านการแอสซิสต์กับการยิงตรงกรอบนั้น ทั้งสองทีมทำได้ใกล้เคียงกัน ส่วนในเรื่องการโยนบอลเข้ากลาง แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ดีกว่า
เดิมทีบรรดา “เร้ด อาร์มี่” ก็แสดงความไม่พอใจอยู่แล้วที่ มูรินโญ่ ทำทีมเน้นเกมรับเป็นหลัก ส่วนเกมรุกกลับไม่มีความอันตรายเท่าไหร่ ทั้งที่ทีมมีแข้งแนวรุกชื่อดังเต็มไปหมด และนี่ก็เป็นการตอกย้ำถึงเรื่องนั้นมากขึ้นไปอีก
– เกมรับ
แค่มองเรื่องพื้นฐานอย่างจำนวนประตูที่เสียไปก็อาจจะบ่งบอกได้ดีในระดับหนึ่งแล้วว่าเกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นกว่าเยอะ หลังจากพวกเขาเพิ่งเสียไปเพียง 6 ลูก ตรงกันข้ามกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้โดนยิงไปแล้วถึง 26 ประตู
อย่างไรก็ตาม ถ้าเจาะลึกไปในบางด้านเป็นพิเศษแล้วนั้น เหล่าสาวก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อาจจะต้องซึมกันมากกว่าเดิม เพราะทีมรักของพวกเขาทำได้แย่กว่าอีกฝ่ายแบบเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการเสียลูกจุดโทษ และการเล่นผิดพลาดจนนำไปสู่การเสียประตู ขณะที่การเล่นเกมรับได้แย่ก็ยังทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนจับฟาวล์หลายครั้ง จนนำไปสู่การโดนใบเหลืองและใบแดงมากกว่าด้วย
ถ้าเกิดว่าเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถยกระดับการเล่นขึ้นมาได้แล้วล่ะก็ มันก็มีโอกาสสูงทีเดียวที่ในวันอาทิตย์นี้พวกเขาจะต้องกลับบ้านแบบมือเปล่า แถมอาจจะมียอดประตูที่เสียเพิ่มขึ้น 2 ลูกขึ้นไปด้วย
– การเคลื่อนบอล
เขาว่ากันว่าหนึ่งในการเล่นที่ดีนั้น คุณต้องผ่านบอลให้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่เกมจะได้ไหลลื่น ส่วนคู่แข่งก็จะไล่ตัดบอลได้ยาก ซึ่งทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ทำได้ดีในด้านนี้ เพราะพวกเขาผ่านบอลไปเยอะมาก และคนที่ผ่านบอลมากที่สุดของทีมยังเป็น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่เป็นกองหลัง จากการทำไป 1,233 หน
สำหรับคนที่ผ่านบอลได้มากที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แก่ เนมานย่า มาติช ที่จำนวน 856 ครั้ง ซึ่งยังถือว่าน้อยกว่า แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คนที่ผ่านบอลมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ หลังจากเขาทำไป 917 หน
การผ่านบอลน้อยแบบนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร และต้องรอดูว่า มูรินโญ่ จะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ยังไง
– อลีสซง vs เด เคอา
การเข้ามาของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลียน มีส่วนสำคัญในการทำให้ ลิเวอร์พูล เสียประตูน้อยลงเยอะ โดยล่าสุดเจ้าตัวก็เพิ่งโชว์ฟอร์มเซฟในช่วงท้ายเกมจนทำให้ทีมรอดจากการโดน นาโปลี ตีเสมอ และเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ แถมเขาก็เก็บคลีนชีทในลีกได้ถึง 10 เกมเข้าไปแล้ว
ขณะที่ เด เคอา แม้ว่าฟอร์มโดยรวมของเขาจะไม่ถือว่าแย่อะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันตกลงจากหลายซีซั่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด โดยจนถึงตอนนี้เขาเก็บคลีนชีทในลีกได้แค่ 2 นัด จนทำให้หลายคนมองว่าตอนนี้ อลีสซง เหนือกว่ามือกาวทีมชาติสเปนไปแล้ว
ถ้ามองจากจำนวนประตูที่ทีมของพวกเขาเสียไปมันก็อาจจะพอพูดอย่างนั้นได้ แต่ที่จริงแล้วจะโทษ เด เคอา คนเดียวก็ไม่ถูก เพราะเกมรับที่ย่ำแย่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันทำให้ เด เคอา ต้องออกแรงเซฟเยอะมาก โดยจนถึงตอนนี้ เด เคอา ต้องเผชิญหน้ากับลูกยิงไปแล้วถึง 80 ครั้ง ขณะที่ของ อลีสซง อยู่ที่ 42 หนเท่านั้น