
ลิเวอร์พูล เกือบต้องเสียท่าคาถิ่นแอนฟิลด์ หลังรับมือกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก แต่ฟอร์มกระท่อนกระแท่นทำได้เพียงเฉือนผู้มาเยือน 4-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดสอง เมื่อวันพุธที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่นำห่างไปก่อนถึง 3-0 แท้ๆ
แน่นอนว่าสาวก “เดอะ ค็อป” คิดว่าเกมนี้พวกเขาจะเรียกความมั่นใจหลังออกไปแพ้ นาโปลี ในเกมแรก และดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นแบบนี้เมื่อทีมดาหน้าซัด ซัลซ์บวร์ก แบบไม่เกรงใจ 3 ประตูรวด แต่สุดท้ายโดนยิงคืนสามประตูเช่นกันทำให้สกอร์เสมอ 3-3 แต่เดชะบุญที่ยังได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยกอบกู้ ทำให้ทีมคว้า 3 คะแนนแบบเหือดจับ
งานนี้นักเตะซัลซ์บวร์กทำผลงานได้โดดเด่นเหลือเกิน โดยเฉพาะ ทาคูมิ มินามิโนะ และ ฮวาง ฮี-ชาน สองนักเตะเอเชียที่ป่วนเกมรับ “เดอะ เร้ดส์” จนเสียขบวน ขณะเดียวกัน เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล คงต้องกลับไปขบคิดเกี่ยวกับผลงานของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โจ โกเมซ รวมไปถึง “โม ซาลาห์” ที่มีหลายจังหวะเสียบอลทำให้ทีมต้องเสียจังหวะการเล่นบ่อยๆ
1. เฮนโด้+โกเมซ ตัวปัญหา
เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยแฟนบอลลิเวอร์พูล คงรู้สึกอุ่นใจปนฮึกเหิมที่เห็นสกอร์ทีมรักนำ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 3-0 และเริ่มคิดการณ์ใหญ่เกี่ยวกับการเห็น “หงส์แดง” โบยบินไล่บี้ขยี้ผู้มาเยือนสบายเกือกแน่ๆ แถมอาจจะมองไปถึงการเก็บผู้เล่นตัวหลักเพื่อเอาไว้ปะทะกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีก ช่วงสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตามความผิดพลาดของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เสียบอลแดนกลางทำให้ ซัลซ์บวร์ก ได้โต้กลับและ เอน็อค เอ็มเวปู จัดการทิ่มบอลให้ ฮวาง ฮี-ชาน ที่โชว์สเต็ปเหนือชั้นหลอก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หลังหัก ก่อนตะบันส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ทำให้สถานการณ์หลายๆ อย่างเริ่มเปลี่ยนไปทันที
นอกจาก “เฮนโด้” ที่เล่นไม่ออก และยังไม่สามารถคุมเกมแดนกลางได้ อีกรายที่ต้องโดนตำหนิก็คือ โจ โกเมซ ซึ่งได้โอกาสลงสนามคู่กับ กองหลังชาวดัตช์ เนื่องจาก โฌแอล มาติป มีปัญหาบาดเจ็บ โดยเกมนี้ แข้งดาวรุ่งชาวเมืองผู้ดี เล่นผิดพลาดหลายจังหวะ จนทำให้ทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม แม้จะเล่นผิดพลาด แต่ก็มีจังหวะที่ช่วยทีมได้เช่นกัน กระนั้นหากมองภาพรวมตลอดทั้งเกม งานนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ คงภาวนาให้ มาติป ฟิตสมบูรณ์ในเกมลีกปะทะ “เดอะ ฟ็อกซ์” เพราะมองมุมไหนแล้ว โกเมซ ยังไว้วางใจไม่ได้จริงๆ
2. แข้งเอเชียกดแนวรับระดับโลก
ทาคูมิ มินามิโนะ และ ฮวาง ฮี-ชาน สองนักเตะเอเชียที่ฟันธงได้เลยว่าหลายคนไม่รู้จักเพราะชื่อชั้นไม่ใช่นักเตะซูเปอร์สตาร์เอเชีย และการได้เห็นสองคนนี้ลงสนาม หลายคนตั้งคำถามว่าพวกเขามีดีขนาดไหนถึงได้ลงเล่นตัวจริงให้กับสโมสรในระดับทวีปยุโรป
คำถามนี้ได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มจาก ฮวาง ฮี-ชาน หัวหอกชาวเกาหลีใต้ ที่ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกแทบไม่มีบทบาทกับเกม แต่เมื่อได้รับโอกาสเจ้าตัวแสดงทักษะชั้นยอดในการล็อกบอลหลบกองหลังระดับโลก ก่อนอัดเต็มข้อบอลส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ซึ่งเป็นการเปิดทางสว่างให้ซัลซ์บวร์ก
ขณะที่ มินามิโนะ ต้องบอกเลยว่าเล่นได้โดดเด่นเป็นสง่าซะเหลือเกิน ในครึ่งแรกมีจังหวะกระชากบอลหนีผู้เล่น “เดอะ เร้ดส์” ได้หลายครั้ง ส่วนครึ่งหลังมีส่วนกับฟอร์มกระฉูของทีม ทั้งจังหวะการยิงประตูสุดสวยด้วยการวอลเลย์แบบไม่จับทำให้ทีมไล่มา 3-2 ตามด้วยการโชว์ทักษะกระชากบอลไปที่ริมเส้นหลังประตู และตบบอลผ่านเท้าของ ฟาน ไดค์ ให้ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ยื่นเท้าแตะบอลเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
คุณภาพของ 2 นักเตะจากเอเชียแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถปะทะกับผู้เล่นยุโรปได้สบายๆ ฉะนั้นในแมตช์ต่อไปที่พวกเขาที่พบกับ นาโปลี แน่นอนแนวรับของ “อัซซูร่า” คงได้เจอปัญหาหนักชัวร์ ส่วนสาวก “เดอะ ค็อป” คงคาดหวังเห็น มินามิโนะ กับ ฮี-ชาน จะเล่นได้เจ๋งเหมือนที่ป่วนพวกเขาในแอนฟิลด์
3. ขวาตายซ้ายสลบ
“ขวาตายซ้ายสลบ” น่าจะเหมาะสมสำหรับสองฟูลแบ็ก “หงส์แดง” เพราะทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงซีซั่นปัจจุบัน ซึ่งนั่นเป็นจุดเด่นของเกมรุกและเกมรับลิเวอร์พูล
ต้องยอมรับว่าจุดเด่นของ ลิเวอร์พูล คือเกมรุก โดยเฉพาะทางกราบทั้งสองครั้ง เพราะทั้งสองคนมีสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในทีม โดยในเกมรับมือกับ ซัลว์บวร์ก ทั้งสองคนประสานงานกันชนิดที่เรียกว่าเพอร์เฟกต์สุดๆ โดยเฉพาะในจังหวะทำประตูให้ทีมขึ้นนำ 2-0
จังหวะนี้เริ่มต้นจาก โรเบิร์ตสัน ที่กระชากบอลก่อนจะส่งให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ส่งต่อให้ “เฮนโด้” ซึ่งทิ่มบอลยาวให้กับ “เจ้าหนูเทรนต์” ที่จัดการปาดบอลเข้ากลางทันที และ กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์วิ่งเข้าไปที่จุดนัดพบก่อนจะแตะบอลเปลี่ยนทางเข้าประตูอย่างสวยสดงดงาม
ประตูนี้ทำให้ โรเบิร์ตสัน กลายเป็นนักฟุตบอลเชื้อสายสกอตติชคนแรกที่ยิงประตูให้ “หงส์แดง” ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรป นับตั้งแต่ที่ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ทำได้ในแมตช์ปะทะ อลาเบส เกมรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า คัพ (ยูโรปา ลีก)
4. ฟีร์มีโน่มีแต่ให้
หากจะเลือกเพลงซักเพลงให้กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ คงต้องเป็นเพลงนี้เท่านั้น “พี่มีแต่ให้” เพราะแมตช์นี้ สตาร์ลูกหนังชาวบราซิเลียน ทำให้โลกได้เห็นแล้วว่าการเล่นเกมรุกไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันยิงประตูอย่างเดียว แต่สามารถสร้างสรรค์จังหวะการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมก็ได้
ต้องยอมรับว่า “บ็อบบี้” เป็นผู้เล่นที่มีส่วนสำคัญในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล มากๆ และเมื่อไหร่ที่เขาไม่ได้ลงสนาม ทีมมักจะมีปัญหาในเรื่องการสร้างสรรค์เกม โดยแมตช์นี้ ฟีร์มีโน่ โชว์ให้เห็นถึงการเล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง เพราะไม่เห็นแก่ตัว และพร้อมแอสซิสต์ให้ใครก็ได้ที่อยู่ในตำแหน่งดีกว่าเพื่อยิงประตู
จังหวะแอสซิสต์ให้ ซาดิโอ มาเน่ เข้าไปทำประตูแรก ต้องบอกเลยว่าเป็นไหวพริบที่ฉลาดหลักแหลมของ ฟีร์มีโน่ ที่แตะบอลส่งให้ สตาร์เซเนกัล ทันที ไม่จับบอลให้เสียเวลาเพราะมองเห็นช่องที่สามารถส่งให้ มาเน่ ทำประตู และต้องถือว่านั่นคือจังหวะคิลเลอร์พาสส์อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่คอยแอสซิสต์เท่านั้น แต่ ฟีร์มีโน่ ยังทำหน้าที่เชื่อมเกมทั้งกับ มาเน่ และ ซาลาห์ แต่ยังคอยวิ่งกลับมารับบอลในแดนกลาง รวมทั้งต่อเกมกับ ฟาบินโญ่ และ เฮนเดอร์สัน ซึ่งพอ เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาแทน ก็ยังเล่นเข้ากับ ดาวเตะจอมเก๋า ด้วย
เรื่องทักษะและไหวพริบในการแอสซิสต์ของ ฟีร์มีโน่ ต้องบอกว่าเป็นความสามารถพิเศษจริงๆ บางครั้งก็ส่งบอลแบบไม่มองเพื่อน บางครั้งจ่ายจังหวะทีเด็ดทีขาด แต่ในเกมนี้เจ้าตัวให้ศีรษะโหม่งบอลให้ “บังโม” เข้าไปยิงประตูชัย….นี่แหละนักเตะที่ คล็อปป์ ขาดไม่ได้จริงๆ
5. ยกเครดิตซัลซ์บวร์ก
เจสซี่ มาร์ช กุนซือชาวอเมริกัน สร้าง ซัลซ์บวร์ก ให้การเป็นทีมที่น่ากลัวจริงๆ แน่นอนว่าหลายคนคงเกาหัวเพราะไม่อยากเชื่อว่าคนที่มาจากแดนลุงแซม จะวางแท็กติกได้เก่งขนาดนี้ ทั้งๆที่ประเทศบ้านเกิดของเขากีฬาฟุตบอล หรือ “ซอคเก้อร์” ไม่ใช่กีฬายอดฮิตเลย
นอกจากนี้ขุมกำลังของยอดทีมแห่งออสเตรีย ต้องบอกได้เลยว่าเป็นนักเตะระดับเกรด บี และ บีบวก เท่านั้น แต่พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าทีมชุดนี้ไม่ใช่สมันน้อยในยุโรปเหมือนที่บรรดาเกจิลูกหนังปรามาส แถมยังเล่นแบบไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์เก่าถ้วยใบโตยุโรป และเป็นเจ้าบ้านด้วย
หากจะมองหาสตาร์ซักคนในทีมชุดนี้ก็คือต้องใส่ชื่อ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ แน่นอนว่ายังคงเป็นแค่นักเตะดาวรุ่งแต่ฟอร์มเจิดจรัสจนหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปหมายตา แต่หลังจบเกมที่แอนฟิลด์ ฟันธงได้เลยว่านักเตะหลายคนของ ซัลซ์บวร์ก คงทำให้หลายๆ ทีมต้องหันมาแสดงความสนใจแน่นอน
แน่นอนว่านับตั้งแต่นาทีที่พวกเขายิงประตูตีไข่แตกจนกระทั่งกลางครึ่งหลังจนสามารถตีเสมอ 3-3 และยังคงไล่บดขยี้ “เดอะ เร้ดส์” จนเสียอาการ แต่หลังจากที่ คล็อปป์ แก้เกมด้วยการส่ง มิลเนอร์ และ ดิว็อค โอริกี้ ลงสนาม สถานการณ์ค่อยกลับมาอยู่ในมือเจ้าบ้าน และสุดท้ายก็คว้า 3 คะแนนสำคัญได้สำเร็จ
ฉะนั้น เมื่อมองอย่างเป็นกลางแมตช์นี้ต้องยกเครดิตให้กับทีมเยือน เพราะหากจะให้ยุติธรรมจริงๆ พวกเขาควรได้ 1 คะแนนเป็นอย่างต่ำ ไม่ใช่กลับบ้านมือเปล่า



