เกมรุกตราปีศาจสามง่าม

จำอารมณ์และความรู้สึกของเกมแรกของฤดูกาลที่พลพรรคปีศาจแดงทำลายตาข่ายคู่แข่งแบบสิ้นซากไปถึง 4 ดอกเน้นๆ ได้ไหมครับ?

แหม่…มันช่างสะเด่าเข้าไส้ และสะใจไปเลยคุณพี่

อนิจจา…หลังจากนั้นอีก 6 นัดต่อมา พวกเขากลับคลำเป้าเจอเพียงแค่ 5 ประตูเท่านั้น แถม 1 ใน 5 ยังมาจาก…จุดโทษ

    แถมทั้ง 9 ประตูที่ยิงได้จนถึงตอนนี้ ไม่มีประตูไหนที่ได้มาจากลูกตั้งเตะ ทั้งคอร์เนอร์และฟรีคิกเลยสักประตูเดียว

มิเพียงเท่านั้นครับ เพราะมันยังไม่มีเกมไหนเลยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กะซวกคู่แข่งได้มากกว่า 1 ประตูด้วย

คมชัดในระบบฟูลเอชดีนะครับว่าปัญหาอยู่ที่เกมรุก

ย้อนกลับไปในเกมแรกอีกครั้ง การศึกครั้งนั้น ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กระทุ้งไปถึง 4 ดอกก็จริง แต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียดแล้วก็จะพบความจริงว่าทั้ง 4 ประตู มันไม่ได้เกิดจากการบุกกดดันคู่แข่งแบบเป็นระลอกพลางขึงให้อยู่ในแดนตัวเองแบบไม่ยอมให้โงหัว มันมาจากจังหวะการเล่นเกมรุกแบบฉาบฉวย แล้วบังเอิญ “โป๊เช๊ะ” ต่างหาก พูดง่ายๆ ว่าเกมนั้นทำอะไรก็ดีไปหมด

ต่อเมื่อต้องครองบอลบุกกดดันใส่คู่ต่อสู้ แมนฯ ยูไนเต็ด มักจะทำได้ไม่ค่อยต่อเนื่อง และไม่สร้างความลำบากใจหรือระทมกบาลให้คู่แข่งของตัวเองสักเท่าไหร่

พูดง่ายๆ ว่าไม่มีรูปแบบเหมือนบอลวัดนั่นแหละ หากไม่ได้การวางยาวแบบทุทะลวงของ ปอล ป็อกบา ก็แทบไม่มีอะไรน่ากลัว

เพื่อให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างให้อ่านกันเล็กน้อย

เวลาขึ้นบอลทางริมเส้น แบ็คจะส่งให้ปีก ก่อนที่แบ็คอ้อมหลัง ปีกจ่ายให้แบ็คอีกครั้ง แทนที่มึงจะหาจังหวะเปิดเข้ากลาง ซึ่งเป็นวิธีการเล่นที่เบสิกมากในเกมลูกหนัง เพราะบอลถึงเส้นหลังแล้วมันก็ต้องครอสส์เข้าไปตามสูตร แบ็คจะตบกลับมาทำชิ่งกันไปทำชิ่งกันมาอยู่อย่างนั้น ก่อนทำบอลเสีย

บางจังหวะแทนที่จะฉวยโอกาสโจมตีอย่างรวดเร็ว กลับเล่นมากจังหวะจนคู่แข่งถอยลงมาตั้งรับปิดพื้นที่หน้าประตูแน่นไปหมด ก่อนส่งกลับเข้าไปเซ็ตใหม่ตรงกลาง ทำชิ่งอีกสัก 2 ครั้ง แล้วก็เสียบอล

นี่คือรูปแบบการเล่นเกมรุกที่เห็นกันจนชินตาจากปีศาจแดงและนาทีนี้

ปัญหาอันดับแรกจึงมิได้อยู่ที่ตัวของกองหน้า หรือผู้เล่นในแผนกล่าสังหารอย่างเดียว จุดบกพร่องมันอยู่ที่รูปแบบของการเข้าทำตามแผน และแท็กติก ซึ่งไม่ได้มีแมวน้ำอะไรเลย

นอกจากจะทื่อแล้วยังไร้ซึ่งไอเดียและจินตนาการอีกต่างหาก

ถามว่าแล้วแบบไหนถึงเรียกว่าการเล่นเกมรุกอย่างมีรูปแบบและจิตนาการ ???

เรื่องนี้ขอให้ดูตัวอย่างจาก แมนฯ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล นั่นแหละครับที่เล่นเกมรุกได้รวดเร็ว แม่นยำ ทะลุทะลวง และพลิกแพลงได้ตลอดเวลา

เมื่อปีกโดนขวางยังเปิดเข้ากลางไม่ได้ต้องจ่ายคืนกลับมา ทันใด เควิน เดอ บรอยน์ ฉวยโอกาสเบิ้ลจังหวะเดียว (ปั่นโค้ง) เข้าไปแบบ “คิลเลอร์พาสส์” โดยบริเวณเสาแรกมีตัวโฉบเข้าไป เช่นเดียวกับตรงกลางประตูที่มีตัวชาร์จ หากเลยไปหมดก็ยังมีผู้เล่นอีกหนึ่งตัวพุ่งเข้ามารอตรงเสาสอง…ตุงตาข่าย

นี่คือการเล่นเกมรุกที่มีรูปแบบ

หรืออย่างชอตเด็ดประจำฤดูกาลนี้ที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ดึงจังหวะอยู่ตรงหน้ากรอบเขตโทษแล้วไขว้บอลให้ โม ซาล่าห์ ที่สอดขึ้นมาพอดี ก่อนหลุดเข้าไปสังหาร นิวคาสเซิ่ล อย่างเลือดเย็น

นี่แหละที่เรียกว่ามีจิตนาการในเกมรุก ไม่ใช่เล่นตามโปรแกรมเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ มันต้องรู้จักพลิกแพลงและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าแบบคู่แข่งคาดไม่ถึงบ้าง

ภาษาอังกฤษยืมคำศัพท์จากวงการเพลงมาเรียกวิธีการเล่นฟุตบอลแบบนี้ว่า “อิมโพรไวซ์” คือใช้จินตนาการเอาเองนอกเหนือจากโน๊ต โดยอาจขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้า และสามารถพลิกแพลงไปตามจังหวะจนคู่ต่อสู้ไม่รู้ว่ามึงจะมาไม้ไหน

แต่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่แข่งมักจะอ่านออกหมดว่าพวกมึงจะบุกมาแบบไหน ถ้าขึ้นบอลมาทางริมเส้นแล้วจะทำอะไรต่อ เนื่องเพราะมันเป็นฟอร์แมตที่อ่านง่ายๆ กองหลังดาดๆ ยังอ่านออกได้ไม่ยากเลย

    ถ้ากองหน้ายึดถือสากกะเบือเป็นแม่แบบ นักเตะคนนั้นจะใช้โอกาสเปลือง ด้วยการยิงทิ้ง & ยิงขว้าง หรือทำหมูหกง่ายๆ แต่นี่ยังไม่ทันจะถึงขั้นตอนนั้นด้วยซ้ำ เอาแค่รูปแบบการเข้าทำก็ทำให้กองหน้าไม่มีโอกาสแสดงความสากกะเบือของตัวเองแล้ว

ต่อเมื่อสบโอกาสก็ไม่เด็ดขาดอีก เพราะคุณภาพต่ำเกินไป

มาร์คัส แรชฟอร์ด และนาทีนี้สถาปนาตัวเองเป็นกองหน้าตัวเป้าที่คุณภาพบัดซบอย่างแรง วิ่งช่องก็ไม่เป็น ขณะที่การตัดสินสุดท้ายก็ผิดจังหวะไปหมด จังหวะควรจะเล่นเร็ว ดันไปดึงช้า พอช้าแค่นิดเดียวเท่านั้น กองหลังคู่แข่งก็จะถอยลงมาตั้งรับได้ทัน จังหวะควรรีบสับไกยิงกลับพยายามตกแต่ง จังหวะควรตกแต่งกลับหลับหูหลับตายิง

เกมที่แพ้ เวสต์แฮม หัวหอกแห่งแก๊ง บีนส์…บีนส์…บีนส์…ผู้นี้หลุดเดี่ยวแล้วควบตะบึงเข้าหาประตู ซึ่งจังหวะแบบนี้ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนเลยครับ ในเมื่อคุณมีความเร็วกว่าคนอื่นอยู่แล้ว สิ่งที่มึง เอ๊ย! คุณต้องทำคือจิ้มบอลไปข้างหน้าแล้วสปีดกงล้อตีนตามไป เพื่อหนีคู่แข่งเข้าไปสังหาร พี่แกกลับเลี้ยงแบบประคองลูก ก่อนจะวิ่งคร่อมบอลจนอดยิง…ซะอย่างนั้น

นับวัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิ่งเล่นเหมือนตัวตลกจนเป็นที่ขบขันของผู้ชมที่ไม่ใช่เด็กผี

    ในยุคเรืองอำนาจของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาเคยมีกองหน้าอยู่คนที่เหมือนตัวตลกของทีมอื่น

แอนดี้ โคล ครับ แอนดี้ โคล

“คิง โคล” มาได้ชื่อว่าเป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสอย่างสิ้นเปลืองมากที่สุดคนหนึ่งในเมืองมนุษย์ก็ตอนสวมเครื่องแบบปีศาจแดงนี่แหละครับ ผิดกับสมัยล่าประตูให้ นิวคาสเซิ่ล ที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากรอยิงเพียงอย่างเดียว

เมื่อเป็นผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ แพงที่สุดในยุคโน้น แอนดี้ โคล จะรอยิงในกรอบเขตโทษอย่างเดียวไม่ได้ เพราะวิธีการเล่นมันแตกต่างกัน อยู่กับผีมันต้องชงเองกินเองให้ได้ด้วย และมีส่วนกับเกมมากขึ้น

จุดเด่นของกองหน้าตูดหมึกผู้นี้คือมีความเร็วระดับทะลุมิติ จมูกก็ไวยิ่งกว่าแมลงวันได้กลิ่นหนูเน่าจึงหาจังหวะทำประตูได้เก่งฉกาจนัก เรียกว่าเป็นกองหน้าที่มีสัญชาติญาณนักล่าค่อนข้างสูง

เสียอย่างเดียวตรงที่ชอบใช้โอกาสอย่างฟุ่มเฟือยนั่นแหละ

กระนั้นตลอดเวลา 8 ปีที่รับใช้ท่านซาตาน กองหน้าที่ถูกปรักปรำว่ายึดถือสากกะเบือเป็นแม่แบบในการเล่นยังอุตส่าห์ยิงกระจายได้ถึง 121 ประตูจากทุกรายการ

ขนาดโดนล้อเลียนว่าเป็นเหมือนตัวตลก แต่เทียบกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด แล้วคนละตีนเลยครับ-ขอบอก

    วิธีการเล่นเกมรุกที่ห่วยแตกก็ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้คุณภาพของผู้เล่นก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญ

ในระบบ 4-2-3-1 ที่กำหนดให้มีตำแหน่ง “หน้าต่ำ” เจสซี่ ลินการ์ด คือตัวเลือกอันดับหนึ่งของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในบทบาทนี้

สิ่งที่เห็นเป็นประจำคือคุณพี่เขาทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เนื่องจากความสามารถมันคงจำกัดอยู่แค่นั้น ไม่พัฒนาขึ้นไม่ว่า…นี่ยังถอยหลังลงคลองอีกต่างหาก

ฆวน มาต้า ก็ไม่เหมาะกับตำแหน่งหน้าต่ำแน่ๆ เพราะนอกจากจะเชื่องช้า ยังติดนิสัยชอบม้วนไปม้วนมา บางจังหวะเห็นทนโท่ว่าพื้นที่ว่างอยู่ข้างหน้าก็ไม่กล้าพลิกบอลเข้าไปจู่โจม โดยมักจะเลือกเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน คือส่งคืนหลัง…ซะอย่างนั้น

ผู้เป็นกุนซือก็เหมือนจะมีถั่วในดวงตาจนมองไม่เห็นธรรมพลางตะบี้ตะบันวางระบบการเล่นที่มีหน้าต่ำอยู่อย่างนั้นแทนที่จะปรับระบบการเล่นให้เหมาะกับความสามารถของตัวผู้เล่น

สถิติการกะซวกประตูของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันทุเรศจริงๆ นะครับ

ค่าเฉลี่ยคือนัดละ 1 ประตูนิดๆ

หมายความว่าพวกเขาจะเอาชนะคู่แข่งได้ก็ต่อเมื่อตัวเองไม่เสียประตูเท่านั้น

เสียประตูเมื่อไหร่ก็มีแต่เสมอกับแพ้เพียงแค่ 2 ทางเลือก ส่วนเกมที่จะ “โป๊ะแตก” เหมือนนัดแรกของฤดูกาล มันก็คงไม่บังเกิดขึ้นบ่อยๆ กับทีมที่มีเกมรุกห่วยแตกแบบนี้

จึงขอนิยามเกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้ว่าเป็นเกมรุกแบบ…แล้วแต่บุญ-แล้วแต่กรรม

วันไหนโชคเข้าข้างหน่อยก็อาจจะเป็นอย่างที่เห็นในเกมแรก

เพียงแต่มาตรฐานหรือตัวตนจริงๆ ของพวกเขาคือ 6 นัดต่อมาที่ยิงได้แค่ 5 ประตูนั่นแหละ

ไอ้ที่ปีศาจตนนั้นมันถืออยู่บนหน้าอกเสื้อด้านซ้ายจึงไม่ใช่สามง่ามอันแหลมคมและทิ่มแทง

มันคือสากกะเบือปีศาจต่างหากล่ะครับ