
ต้องยอมรับว่าผลงานของ ลิเวอร์พูล 2 เกมหลังสุดไม่ค่อยน่าอภิรมย์มากนักแม้ว่าพวกเขาจะเก็บชัยชนะในเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ได้ก็ตาม แต่ก็เป็น 3 คะแนนที่บอกได้ว่าหืดจับจริงๆ ฉะนั้นในการดวลกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามแอนฟิลด์ วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคมนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ แน่นอน
เลสเตอร์ของกุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดาเพราะกลายเป็นทีมที่เล่นบอลสวยงาม มีจังหวะโต้กลับที่แสนเฉียบคม แถม เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่ง ก็ฟอร์มกระฉูดแตก ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่แนวรับ “หงส์แดง” ต้องระมัดระวังกันให้ดีๆ
ขณะที่ “เดอะ เร้ดส์” ตำแหน่งที่น่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้นเซนเตอร์แบ็ก เพราะดูแล้ว โฌแอล มาติป คงฟิตไม่ทันลงสนาม ทำให้ทีมมีสิทธิ์ต้องใช้งาน โจ โกเมซ มากกว่า เดยัน ลอฟเรน ฉะนั้นหาก แนวรับสารพัดประโยชน์ชาวอังกฤษ เล่นผิดพลาดเหมือนที่ทำในเกมกับ ซัลซ์บวร์ก งานนี้ “หงส์แดง” อาจจะแผลงฤทธิ์ไม่ออกก็ได้
1. มาเน่ ปะทะ วาร์ดี้
ซาดิโอ มาเน่ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดยในฤดูกาลนี้ฟอร์มการเล่นของ สตาร์ลูกหนังชาวเซเนกัล ก็ยังคงร้อนแรง และยิงประตูให้ “หงส์แดง” ได้ต่อเนื่อง
ปัจจุบัน มาเน่ ซัดไปแล้ว 4 ประตูในลีก และเขาต้องอีก 1 ประตูเพื่อทำตะบันตาข่ายครบ 50 ลูกในการเล่นเกมลีกให้กับ “เดอะ เร้ดส์” จากการลงเล่นครบ 100 เกมร่วมกับต้นสังกัด อย่างไรก็ตามแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ก็ต้องระมัดระวังการโดนเจาะตาข่ายเพราะผู้มาเยือนมีหัวหอกตัวเก่ง เจมี่ วาร์ดี้
สำหรับ วาร์ดี้ ต้องบอกเลยว่าฟอร์มการเล่นกำลังร้อนแรงเช่นกัน โดยในช่วงต้นซีซั่นนี้เขาซัดไปแล้ว 5 ประตู แถมที่เด็ดกว่านั้นก็คือเจ้าตัวมักจะเล่นได้ดีเวลาที่เจอกับ ลิเวอร์พูล เมื่อซัดไป 7 ลูกเวลาดวลกับพวกเขา และมีเพียง แอนดี้ โคล (11) กับ เธียร์รี่ อองรี (8) ที่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในการพบ “หงส์แดง” เกมพรีเมียร์ลีก ได้มากกว่า ดาวยิงหมายเลข 9
หัวหอกวัย 32 ปีมีค่าเฉลี่ยการยิงประตูทุกๆ 126 นาที เหนือกว่า มาเน่ ที่ต้องใช้ความพยายามประมาณ 129.5 นาทีต่อประตู และนับตั้งแต่ต้นฤดูกาล 2010/11 มีเพียงแค่ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีจำนวนนาทีการยิงประตูในการพบกับทีมระดับ “บิ๊ก ซิกซ์” เหนือกว่า วาร์ดี้
แน่นอนว่าเรื่องจังหวะการจบสกอร์ที่แสนคมกริบต้องยกให้กับ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ แต่เรื่องความเร็ว และความสดของสภาพร่างกาย มาเน่ เหลือกว่าหลายขุม ฉะนั้นในเกมนี้หากแนวรับของแต่ละฝ่ายพลาด หรือปล่อยให้ทั้งคู่ได้มีโอกาส มีความเป็นไปได้สูงที่บอลจะเข้าไปซุกก้นตาข่าย
2. ร็อดเจอร์ส กลับเมอร์ซี่ย์ไซด์
แมตชี้จะเป็นครั้งแรกที่ เบรนดอน ร็อดเจอร์ส ได้เดินทางกลับมายังแอนฟิลด์อีกครั้ง นับตั้งแต่ที่เขาโดนเฉดหัวออกจากแอนฟิลด์ เมื่อเดือนตุลาคม 2015 ซึ่งเป็นการหลีกทางให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ก้าวเข้ามาสร้างทัพ “หงส์แดง” จนถึงปัจจุบัน
อดีตนายใหญ่ “หงส์ขาว” สวอน ซิตี้ เกือบนำ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2013/14 แต่น่าเสียดายที่ในฤดูกาลนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การกุมบังเหียนของ มานูเอล เปเยกรีนี่ ผงาดสร้างความยิ่งใหญ่ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอบครอง
นับตั้งแต่ที่ ร็อดเจอร์ส เข้ามารั้งตำแหน่งนายใหญ่ “เดอะ ฟ็อกซ์” แทนที่ โคล้ด ปูแอล มีเพียงแค่ 2 สโมสรได้แก่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เก็บคะแนนในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้มากกว่า เลสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น
แน่นอนว่า คล็อปป์ สามารถนำ ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ในเวทีฟุตบอลถ้วยยุโรป และพา “หงส์แดง” เบียดบี้ขยี้คู่แข่งในการลุ้นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ขณะที่ “บีร็อด” ต้องการที่จะพิสูจน์ให้ต้นสังกัดเก่าได้เห็นว่าเขามีศักยภาพชั้นยอด และผู้บริหาร “เดอะ เร้ดส์” ต้องเสียใจที่เฉดหัวออกจากทีม
ทั้งนี้ ร็อดเจอร์ส ยังมีแรงกระตุ้นที่สำคัญอีกเรื่องก็คือความต้องการที่จะเป็นสโมสรแรกที่สามารถยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกซีซั่นนี้
กระนั้น คล็อปป์ ก็คงรู้ตัวดีว่า “บีร็อด” คงนำทีมมาเยือนด้วยการเล่นเกมรุกแต่ยังมีทีเด็ดตรงจังหวะสวนกลับที่แสนเฉียบคม และบทเรียนจากเกมกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อกลางสัปดาห์คงทำให้เขารู้ว่าต้องรับมือการสไตล์การเล่นแบบนี้ยังไง
3. สองฟูลแบ็กสร้างความแตกต่าง
จุดสำคัญที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ฟูลแบ็กซ้ายขวามหาประลัยของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เพราะตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมาจนถึงซีซั่นนี้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ช่วยกันแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีมซัดประตูเป็นว่าเล่น
กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ถือเป็นผู้เล่นที่เต็มไปด้วยความฟิตอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่าในหลายๆ เกม โรเบิร์ตสัน มักจะวิ่งขึ้นไปเติมเกมรุกด้วยการเปิดบอลจากเท้าซ้ายที่แสนแม่นยำให้กับต้นสังกัด แถมช่วงนี้เจ้าตัวก็มีการพัฒนาเรื่องยิงประตู โดยล่าสุดก็มีชื่อบนสกอร์บอร์ดในแมตช์เฉือน ซัลซ์บวร์ก เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี เมื่อกลางสัปดาห์นี้
ในส่วนคุณภาพของ “เจ้าหนูเทรนต์” ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะเรื่องเกมรุก แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ได้รับการการันตีไปแล้ว เพราะทั้งวิ่งขึ้นวิ่งลง และแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม แถมยังมีทีเด็ดจากจังหวะการเล่นฟรีคิก ไม่ว่าจะเป็นการปั่นบอลสวยๆ ข้ามกำแพง หรือตะบันเต็มข้อ
สำหรับเรื่องเกมรับในรายของ โรเบิร์ตสัน มีการเล่นที่แน่นอนมากขึ้น น้อยครั้งที่จะเห็นเขาทำพลาด หรือวิ่งหลุดตำแหน่ง ขณะที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ พัฒนาในจุดนี้เยอะมากหลังโดนตำหนิว่าการเล่นเกมรับคือจุดอ่อนของเขา แต่ปัจจุบันมีผลงานในเกมรับที่รัดกุมขึ้น
4. โกเมซ จับคู่ ฟาน ไดค์ (จะไหวไหม)
หลังจากที่ โฌแอล มาติป ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์ ทำให้หลายคนคาดหวังว่าเขาจะกลับมาลงสนามในแมตช์รับมือ เลสเตอร์ ซิตี้ แต่ล่าสุด คล็อปป์ ยืนยันแล้วว่านักเตะคงไม่สามารถลงคุมแนวรับให้กับทีมได้ งานนี้ทำเอาสาวก “เดอะ ค็อป” เครียดกันเลยทีเดียวเพราะคนที่จะยืนเซนเตอร์แบ็กคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คงหนีไม่พ้น โจ โกเมซ !!
ย้อนไปเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา โกเมซ พัฒนาฟอร์มการเล่นแบบเขย่งก้าวกระโดด และถือเป็นคู่หูที่เล่นได้อย่างเข้าขากับ ฟาน ไดค์ อย่างมาก แต่หลังจากที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ทำให้ มาติป มีโอกาสได้ประสานงานกับ กองหลังชาวดัตช์ และนั่นคือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง เมื่อคู่เซนเตอร์แบ็ก “ติปไดค์” ทำผลงานได้อย่างลงตัว จนกระทั่งปัจจุบันนี้
กระนั้นการที่ มาติป มีปัญหาบาดเจ็บถือเป็นโอกาสทองสำหรับ โกเมซ แต่ในส่วนของแฟน “หงส์แดง” ต้องยอมรับว่าเสียวสันหลังเลยทีเดียว เพราะ ดาวเตะชาวอังกฤษ ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้เลย และมีหลายครั้งที่มักจะเล่นผิดพลาดจนทำให้ทีมเสียเปรียบ
อย่างในแมตช์ที่รับมือ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ต้องยอมรับว่า โกเมซ มีจังหวะที่ทั้งเล่นดีและแย่ แต่ในจังหวะที่แย่มีผลต่อการเสียทั้ง 3 ประตูโดยลูกแรกไม่ตามประกบ ฮวาง ฮี-ชาน ทำให้แข้งเกาหลีใต้หลุดเข้าไปล็อกหลบ ฟาน ไดค์ แถมเจ้าตัวยังพุ่งบล็อกช้าอีกต่างหาก
ส่วนประตูที่สองทำฟาวล์คู่แข่งเกือบกลางสนามแถมยังลุกช้าทำให้โดนเล่นเร็ว และวิ่งตามประกบคู่แข่งไม่ทัน ส่งผลให้ ดาวเตะดัตช์ ต้องวิ่งมาประครองตำแหน่ง และปล่อย ทาคูมิ มินามิโนะ ยืนโล่งๆ วอลเลย์งามหยด สำหรับประตูสุดท้าย อาจจะมีส่วนผิดพลาดนิดหน่อยแต่ก็สำคัญเพราะดันยืนห่าง เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ซึ่งได้แตะบอลโล่งๆ สบายๆ
ฉะนั้นในแมตช์รับมือเลสเตอร์ ซึ่งมี วาร์ดี้ ได้ชื่อว่าเป็นจอมฉกฉวยโอกาส และจบสกอร์สุดคมกริบ หาก โกเมซ เผลอเพียงเสี้ยววินาทีมีสิทธิ์น้ำตาตกเอาได้ง่ายๆ
5. อลีสซง กลับมาแล้ว
สาวก “เดอะ ค็อป” ต้องใจหายใจคว่ำเมื่อเห็น อลีสซง เบ็คเกอร์ เดี้ยงตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องใช้งาน อาเดรียน ลงเฝ้าเสาเป็นมือ 1 แม้ว่า โกลชาวสแปนิช จะมีจังหวะเซฟสำคัญๆ หลายครั้ง แต่ก็มีจังหวะผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยก็หลายหน
เชื่อได้เลยว่าทุกครั้งที่มีการส่งบอลคืนหลังให้กับ อาเดรียน แฟนบอล “หงส์แดง” ต่างลุ้นกันใจระทึกว่าเจ้าตัวจะทำอะไร จะเตะบอลทิ้ง หรือเตะพลาดให้คู่แข่งฉกไปยิงประตู ฯลฯ เรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาย้อนกลับไปในช่วงที่ทีมมีโกลอย่าง ลอริส คาริอุ กับ ซิมง มิโญเลต์
สำหรับตอนนี้แฟนบอลได้เฮกันพอสมควรเมื่อ คล็อปป์ ยืนยันว่า อลีสซง หายเจ็บน่องและกลับมาลงซ้อมเต็มที่แล้ว นั่นคือนิมิตหมายที่ดีสำหรับขวัญและกำลังใจของกองหลัง “หงส์แดง” เพราะพวกเขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นหากได้เห็น นายด่านชาวบราซิเลียน ยืนเฝ้าเสา
แม้ว่าการกลับมาฟิตของ อลีสซง อาจทำให้หลายคนมองว่าเร็วเกินไปไหมที่จะจับลงสนาม เพราะเขาไม่ได้เล่นมาหลายเดือน แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าคนอย่าง คล็อปป์ หากไม่มั่นใจเต็มร้อยคงไม่ให้โอกาสคนๆ นั้น ฉะนั้นงานนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงลุ้นกันสุดตัวว่าจะได้เห็นใบหน้า “เทพธอร์” ยืนตระหง่านเป็นปราการสุดท้ายให้กับทีมรับมือ “เดอะ ฟ็อกซ์” ได้ไหม



