
เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปชนะ นอริช ซิตี้ 3-1 ถึงสนาม แคร์โรว์ โร้ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมานั้น นอกจากจะทำให้ “ปีศาจแดง” หยุดสถิติไม่ชนะใครในลีกติดต่อกันเอาไว้ที่ 4 นัดได้แล้ว มันยังถือเป็นนัดที่สองของซีซั่นนี้จากทุกรายการที่พวกเขายิงได้เกิน 1 ลูกต่อนัดด้วย โดยเกมแรกคือเกมลีกนัดเปิดฤดูกาลที่คว้าชัยเหนือ เชลซี 4-0
ในเกมกับ นอริช โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกใช้ มาร์คัส แรชฟอร์ด, แดเนี่ยล เจมส์ และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ลงเล่นเป็น 3 ประสานในแดนหน้า ซึ่งทั้งหมดต่างก็มีส่วนร่วมกับประตูที่เกิดขึ้น โดย แรชฟอร์ด ทำไป 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์, มาร์กซิยาล ทำได้ 1 ประตู ส่วน เจมส์ ทำไป 1 แอสซิสต์
ทั้งนี้ เกมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมายังถือเป็นการลงเล่นในฐานะตัวจริงในเกมลีกนัดแรกของ มาร์กซิยาล นับตั้งแต่เกมแพ้ คริสตัล พาเลซ 1-2 เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาด้วย หลังก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บต้นขาจนต้องพักไปนานพอสมควรก่อนที่จะกลับมาลงเล่นได้ในฐานะตัวสำรองของเกมแดงเดือดที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล 1-1 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ซึ่งหลายคนมองว่าการที่ มาร์กซิยาล กลับมาร่วมงานกับ แรชฟอร์ด ในแดนหน้าทำให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดูดีขึ้น และวันนี้เราจะพาดูหลักฐานที่เป็นรูปธรรมกันว่ามันเป็นความจริงแค่ไหน โดยวัดจากผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคของ โซลชา ในตอนที่ มาร์กซิยาล ได้เป็นตัวจริง กับ ไม่ได้เป็นตัวจริง



