5 แนวทางที่ ลิเวอร์พูล จะใช้หากไร้ ซาลาห์

หลังจากมีข่าวว่า ลิเวอร์พูล เริ่มกังวลเกี่ยวกับสภาพความฟิตของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าระหว่างเกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ “หงส์แดง” เริ่มอาจคิดที่จะพัก “บังโม” บางเกม เพราะหากนักเตะคนสำคัญเกิดเดี้ยงหนัก จนอาจส่งผลต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้

    ซาลาห์ เพิ่งจะหายเจ็บจากการโดน ฮัมซ่า เชาด์รี่ ผู้เล่นเลสเตอร์ ซิตี้ เสียบหนักเมื่อเดือนที่ผ่านมา และในเกมกับ “เรือใบสีฟ้า” เจ้าตัวโดน แฟร์นันดินโญ่ เข้าเสียบจนลงไปนอนดิ้นก่อนที่ทีมแพทย์จะเข้ามาปฐมพยาบาล และเขาสามารถเล่นได้ต่อจนถึงช่วงนาทีที่ 87 เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงส่ง โจ โกเมซ ลงไปเล่นแทน

    สำหรับอาการเจ็บที่ข้อเท้าตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะนักเตะยังไม่ได้เข้ารับการสแกน กระนั้นไม่ว่าผลจะออกมาแบบนั้น สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องขบคิดก็คือการพัก ซาลาห์ ในบางเกมเพื่อรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตสมบูรณ์ ฉะนั้นหาก คล็อปป์ จำเป็นต้องดร็อปป์ “โม ซาลาห์” แล้วทีมจะเล่นแผนไหนเพื่อทำให้ทีมยังคงเล่นได้ดุดันเหมือนเดิม

1. ฟีร์มีโน่จับคู่มาเน่
     การจับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยืนเป็นคู่หูล่าตาข่ายกับ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะดูแปลกๆ เพราะระบบนี้ไม่ค่อยได้เห็น ลิเวอร์พูล เล่นมากนัก เนื่องจากการใช้สองกองหน้าคู่กันไม่ใช่แท็คติกที่นายใหญ่ชาวเยอรมันนิยมชมชอบซักเท่าไหร่

    แน่นอนว่าการขาด โม ซาลาห์ ก็เหมือน “หงส์แดง” ตีปีกที่บินไม่ค่อยขึ้น ฉะนั้น ลิเวอร์พูล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีในการแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้นการจับ สตาร์ดังทีมชาติเซเนกัล และยอดดาวยิงเลือดบราซิเลียน มายืนเป็นคู่หน้า อาจจะสร้างปัญหาให้กับเกมรับคู่แข่งในระดับนึง

อย่างไรก็ตามด้วยความที่ระบบ 4-4-2 อาจจะไม่สามารถงัดศักยภาพเกมรุกของ “เดอะ เร้ดส์” ออกมาได้เต็มที่ นั่นหมายความว่า คล็อปป์ น่าจะใช้ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะการดัน ฟีร์มีโน่ เป็นกองหน้าเต็มตัวมากกว่าตำแหน่งฟอลส์ ไนน์ (False9) ก็เหมือนกับลดทอนศักยภาพของ “บ็อบบี้”

    ขณะเดียวกัน มาเน่ สามารถเล่นในตำแหน่งนี้ได้ แต่ก็ไม่ใช่งานถนัดของเจ้าตัวเช่นกัน ฉะนั้นหากเกิดกรณีนี้จริงๆ คล็อปป์ คงต้องเลือกแผนการอื่นก่อน เพราะการใช้ระบบกองหน้า 2 ตัว ถือเป็นการลดความดุดันของสตาร์ทั้งสองคน

2. แชมเบอร์เลน สวมบทหน้าต่ำ
    สืบเนื่องจากข้อแรกหากจำเป็นจริงๆ ที่ กุนซือหน้าเปื้อนยิ้ม จะเลือกใช้หน้าสองตัว ฉะนั้น “เดอะ เร้ดส์” จำเป็นต้องมีหน้าต่ำที่ไว้ใจได้ และแน่นอนว่า ณ เวลานี้คงหนีไม่พ้น อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่พร้อมรับบทบาทสำคัญในการยืนอยู่หลังกองหน้าคู่

    “หนุ่มอ็อกซ์” ทำผลงานได้ดีกับการเล่นในตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะเขาได้แสดงให้เห็นมาแล้วตอนที่ลงสนามให้ทีมในเกมที่ชนะ อาร์เซน่อล ศึกคาราบาว คัพ เนื่องจากความสามารถเฉพาะตัว และความแข็งแกร่งของ แชมเบอร์เลน สามารถจัดการกับเกมรับคู่แข่งได้สบายๆ

นอกจากนี้ อดีตดาวเตะอาร์เซน่อล และเซาธ์แฮมป์ตัน ยังมีทีเด็ดเรื่องการยิงประตูด้วยไม่ว่าจะเป็นยิงไกล หรือบริเวณกรอบเขตโทษ แน่นอนว่าผู้เล่นตำแหน่งหน้าต่ำต้องมีไหวพริบในการหาช่องผ่านบอลให้แนวรุกทำประตู และหากต้องเจอกับทางตัน ก็สามารถยิงประตูได้เช่นกัน

    คุณสมบัติแบบนี้ แชมเบอร์เลน มีครบ เพียงแต่ว่า คล็อปป์ พร้อมที่จะให้เขารับบทบาทสำคัญนี้หรือเปล่า นี่แหละคือคำถามที่นายใหญ่เคราดกต้องเป็นคนตอบเอง!!??

3. ลองใช้ โอริกี้ ตัวจริง (อีกครั้ง)
    ทุกครั้งที่ มาเน่ กับ ซาลาห์ ไม่สามารถลงสนามได้ สิ่งที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน คิดเป็นอันดับแรกก็คือการส่ง ดิว็อค โอริกี้ ดาวเตะชาวเบลเยียม ลงไปเป็นกองหน้าริมเส้น เพื่อคอยประสานงานกับอีกสองผู้เล่นที่เหลืออยู่ในการจัดการกับแนวรับคู่แข่ง

    ปกติแล้ว โอริกี้ รู้สภาพของตัวเองเป็นเพียงยางอะไหล่เท่านั้น เนื่องจาก คล็อปป์ มักจะใช้สามประสาน “หินเหล็กไฟ” (เอสเอ็มเอฟ) ลงสนามเป็นประจำ ขณะที่ โอริกี้ จะได้รับโอกาสเป็นตัวจริงเฉพาะในเกมคาราบาว คัพ และทำผลงานได้ดีในการช่วยประคับประครองบรรดาดาวรุ่ง “เดอะ เร้ดส์”  ในการเล่นถ้วยใบเล็กเมืองผู้ดี

อย่างไรก็ตามข้อเสียสำคัญหากให้ โอริกี้ ลงเล่นตัวจริงๆ ก็คือเขามักจะทำผลงานไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับการลงเป็นตัวสำรอง หลายต่อหลายเกมที่ คล็อปป์ เคยต้องใช้งาน ดาวยิงชาวเบลเยียม ลงเล่น 11 ตัวจริง เจ้าตัวไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย

    ฉะนั้นหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง กุนซือชาวเยอรมัน คงใช้  โอริกี้ ในฐานะซูเปอร์ซับมากกว่า แต่หากไม่มีทางเลือกจริงๆ ก็คงต้องส่งเขาลงตัวจริง เพราะหากมองในแง่บวก ความเร็ว และความคล่องตัวของนักเตะ สามารถจัดการเกมรับของคู่แข่งได้เช่นกัน

4. จับ มาเน่ หน้าเป้า
    ขณะเดียวกันการเลือกใช้ มาเน่ ยืนเป็นหน้าเป้าก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีสำหรับ ลิเวอร์พูล ในยามที่ ซาลาห์ ไม่สามารถลงสนามได้ แน่นอนว่านี่เป็นตำแหน่งที่คุ้นเคยสำหรับ ดาวเตะชาวเซเนกัล เพราะเขาเคยทำหน้าที่นี้มาแล้วหลายเกมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    สำหรับระบบนี้ ฟีร์มีโน่ จะยืนเป็นหน้าต่ำ เพื่อคอยทำหน้าที่ผ่านบอลเด็ดๆ ให้กับ มาเน่ หรือผู้เล่นแนวรุกคนอื่นๆ เข้าไปทะลุทะลวงในพื้นที่สุดท้าย ฉะนั้นหาก คล็อปป์ เลือกใช้ระบบนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีเยี่ยมในยามที่ ซาลาห์  ไม่สามารถลงสนามได้

นอกจากนี้แผงกองกลางคงจะเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม สามประสานที่กำลังเล่นได้อย่างเข้าขา ส่วนอีกคนอาจจะเป็น แชมเบอร์เลน หรืออาจจะใช้งาน อดัม ลัลลาน่า เพื่อทำหน้าที่เชื่อมเกมระหว่างกองกลางกับแนวรุก

5. ฟีร์มีโน่สวมบทฟอลส์ไนน์
    กองหน้าตัวหลอก หรือ ฟอลส์ไนน์ เป็นระบบที่หลายสโมสรนิยมใช้ แต่บางสโมสรใช้แล้วไม่ประสบความสำเร็จ สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาสามารถใช้ระบบนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีนักเตะอย่าง ฟีร์มีโน่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพในการทำหน้าที่นี้

    หากจับ ฟีร์มีโน่ เล่นตำแหน่งฟลอส์ไนน์ งานนี้ มาเน่ จะได้ทำหน้าที่เป็นตัวฟรีในการวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ซึ่งแบบนี้ ดาวเตะเลือดเซเนกัล ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะเจ้าตัวกระตือรือร้นในการวิ่งป่วนเหมือนกับหนูที่วิ่งพล่านไปทั่วบ้าน

สตาร์ลูกหนังทีมชาติบราซิล ได้ชื่อว่าเป็นจอมป้อนบอลให้เพื่อนร่วมทีมอยู่แล้ว ฉะนั้นการให้เจ้าตัวสวมบทกองหน้าตัวหลอก ยิ่งทำให้เขาได้โชว์ศักยภาพแม้ว่าอาจจะไม่เต็มที่เท่ากับการเล่นเป็นหน้าต่ำก็ตาม คิดดูก็แล้วว่ากันว่า “บ็อบบี้” คอยแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม แถมยังยิงประตูก็ได้ มันช่างดีต่อใจสำหรับ “เดอะ ค็อป” จริงๆ