5เหตุผลเลสเตอร์จะติดท็อปโฟร์พรีเมียร์ลีกไม่ยาก

เปิด 5 เหตุผลที่ เลสเตอร์ จะทำอันดับติดท็อป 4 ในซีซั่นนี้ได้ไม่ยาก หรืออาจถึงขั้นสร้างปาฎิหาริย์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกครั้งก็เป็นได้

     เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ กำลังนำทัพ “สุนัขจิ้งจอก” ทำผลงานใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องคว้าแชมป์แต่อย่างใด

    เลสเตอร์ เพิ่งเปิดรัง คิง เพาเวอร์ เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทำให้เก็บไปแล้ว 26 คะแนน จาก 12 เกม โดยชนะถึง 8 นัด เสมอ 2 นัด และแพ้ไป 2 นัด 

    เชื่อว่า หาก เลสเตอร์ ยังทำผลงานดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็น่าจะมีลุ้นแชมป์ รวมทั้งติด 4 อันดับแรกของตารางได้ไม่ยาก และนี่คือ 5 เหตุผลที่ทำไมจะเป็นเช่นนั้น

    1. กุนซือที่ชื่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

ร็อดเจอร์ส วัย 46 ปี พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่สมัยคุม สวอนซี ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เซลติก

    กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ เข้ามาคุม “สุนัขจิ้งจอก” ต่อจาก โคล้ด ปูแอล เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และทำผลงานมาจนถึงฤดูกาลนี้

    แม้ เลสเตอร์ จะเสียกองหลังคนสำคัญอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ แต่แนวรับของทีมไม่ได้ด้อยลงเลย หลัง คักลาร์ โซยุนชู เข้ามายืนคู่กับ จอนนี่ อีแวนส์ ได้อย่างยอดเยี่ยม 

    นอกจากนั้น ร็อดเจอร์ส ยังเข้าใจนักเตะเป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นกุนซือที่สามารถประสานนักเตะต่างชาติให้เข้ากับนักเตะท้องถิ่นได้เยี่ยมด้วย

    2. บิ๊ก6หลายทีมทำผลงานไม่ดี 

หลังเตะไป 12 เกมในบรรดาทีมบิ๊ก 6 มีแค่ ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ที่ทำผลงานเยี่ยมติดอยู่ใน 4 อันดับแรกของตาราง

    ขณะที่ อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างทำผลงานได้ไม่ดีในฤดูกาลนี้ ส่งผลให้ เลสเตอร์ มีโอกาสเบียดเข้าไปอยู่ในท็อป 4 และได้ไปเล่นถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าได้ไม่ยาก

    อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ ต้องระวังเรื่องนักเตะบาดเจ็บ เพราะทีมยังมีขุมกำลังขนาดไม่ใหญ่เท่ากับทีมในกลุ่มบิ๊ก 6 

    3. เกมรับแข็งแกร่ง

หลังเตะไป 12 เกม เลสเตอร์ เพิ่งโดนเจาะตาข่ายไปแค่ 8 ลูกเท่านั้น น้อยสุดใน พรีเมียร์ลีก หรือเฉลี่ยแล้วเสียแค่ไม่ถึง 1 ประตูต่อนัด 

    การขาย แม็กไกวร์ ออกไปไม่ได้ทำให้ทีมเสียศูนย์เลย หลัง คักลาร์ โซยุนชู เข้ามาจับคู่กับ จอนนี่ อีแวนส์ ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กได้อย่างเหนียวแน่น

    ขณะที่แบ็กซ้าย-ขวาอย่าง เบน ชิลเวลล์ และ ริคาร์โด้ เปเรยร่า ก็ทำได้เยี่ยมทั้งรับและรุก รวมทั้งมีความอันตรายในการทำประตูด้วย 

    ส่วนนายทวารก็ไว้ใจได้ เพราะมี แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล คอยยืนเฝ้าเสา ทำให้เป็นเรื่องยากที่ทีมคู่แข่งจะเจาะเข้าไปทำประตู

    4. เจมี่ วาร์ดี้ ร้อนเป็นไฟ

วาร์ดี้ ซัดไปแล้ว 11 ประตูในฤดูกาลนี้ ทำให้นำเป็นดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก โดยฟอร์มเวลานี้ดูเยี่ยมกว่าตอนที่ช่วยให้ เลสเตอร์ คว้าแชมป์เมื่อฤดูกาล 2015/16 เสียอีก

    จากผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายอยากให้เขากลับไปเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ อีกครั้ง หลังขออำลาทัพ “สิงโตคำราม” ไปเมื่อปีที่แล้ว 

    แม้เวลานี้ วาร์ดี้ อายุ 32 ปีแล้ว แต่เขายังเล่นด้วยความกระหาย และมุ่งมั่นเหมือนกับเต็กหนุ่ม รวมทั้งมีการจบสกอร์ที่เยี่ยม แถมยังชอบยิงใส่ทีมใหญ่ๆ อีกต่างหาก

    5. มีความสมดุลในทีม

ร็อดเจอร์ส เป็นกุนซือที่มีปรัชญาในการทำทีมชัดเจนคือเน้นเกมบุกและครองบอลให้ได้ ไม่ใช่เล่นรับแล้วรอโต้กลับเหมือนในอดีต

    กุนซือคนเก่ง นำปรัชญาใส่ในตัวนักเตะ และทำทีมได้อย่างสมดุล โดยแข้งต่างชาติอย่าง ยูริ ตีเลมันส์, อโยเซ่ เปเรซ, คักลาร์ โซยุนชู และ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ สามารถเล่นร่วมกับนักเตะอังกฤษ อย่าง เจมี่ วาร์ดี้, เจมส์ แมดดิสัน และ เบน ชิลเวลล์ ได้อย่างลื่นไหล

     เอ็นดิดี้ เป็นกองกลางที่คอยตัดเกมได้เยี่ยมจนหลายคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ขณะที่ตัวรุกมีทั้ง แมดดิสัน, ตีเลมันส์ และ เปเรซ ทำให้ วาร์ดี้ มีคนคอยป้อนให้ทำประตูมากมาย 

    ด้วยระบบและความสมดุลที่มีในทีมทำให้ เลสเตอร์ น่าจะมีโอกาสติดท็อปโฟร์ได้ไม่ยาก หรือดีไม่ดีอาจสร้างเหลือเชื่อถึงขั้นคว้าแชมป์อีกครั้งก็เป็นได้