คู่ชิงที่คู่ควร! เปิดเส้นทางสู่รอบไฟนอลส์ ยูโร 2024 “สเปน พบ อังกฤษ”

ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม บี) : ชนะ โครเอเชีย 3-0, ชนะ อิตาลี 1-0, ชนะ แอลเบเนีย 1-0 

รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ จอร์เจีย 4-1

รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ เยอรมนี 2-1 (ต่อเวลาพิเศษ)

รอบรองชนะเลิศ : ชนะ ฝรั่งเศส 2-1 

ดาวซัลโวของทีม : ดานี่ โอลโม่ (3 ประตู)

ผลงานดีสุดใน ยูโร : แชมป์ 3 สมัย (ปี 1967, 2008 และ 2012)

ทัพ “กระทิงดุ” ของกุนซือ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ โชว์ฟอร์มหรูตลอดเส้นทางสู่รอบชิงฯ หลังจากที่ปราบทีมใหญ่ๆ อย่าง อิตาลี, เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ด้วยการเล่นที่ดูสนุก เร้าใจ และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะเกมรุกที่กดไปแล้วถึง 13 ประตู ซึ่งมากสุดเหนือทุกทีม ก็ต้องมาลุ้นกันว่า พวกเขาจะสุดยอดไปจนถึงตำแหน่งแชมป์เลยหรือไม่ และถ้าทำได้ ก็จะถือเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่สี่ด้วย ซึ่งจะมากสุดเหนือ เยอรมนี ทันที 

ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม (แชมป์กลุ่ม ซี) : ชนะ เซอร์เบีย 1-0, เสมอ เดนมาร์ก 1-1, เสมอ สโลวีเนีย 0-0

รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ สโลวาเกีย 2-1 (ต่อเวลาพิเศษ)

รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะดวลจุดโทษ สวิตเซอร์แลนด์ 5-3 (เสมอ 1-1 ใน 120 นาที)

รอบรองชนะเลิศ : ชนะ เนเธอร์แลนด์ 2-1

ดาวซัลโวของทีม : แฮร์รี่ เคน (3 ประตู)  

ผลงานดีสุดใน ยูโร : รองแชมป์ 1 ครั้ง (ปี 2020)

ถึงแม้ฟอร์มไม่หรู ดูไม่สนุกเหมือน สเปน แต่ อังกฤษ ก็เข้ามาถึงรอบชิงฯ แบบไร้พ่ายเช่นกัน โดยทัพ “สิงโตคำราม” ชุดนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่สภาพจิตใจอันแข็งแกร่งและสู้ไม่ถอย เพราะทั้งสามเกมในรอบที่ผ่านมา โดนคู่แข่งยิงก่อนตลอด แต่พวกเขาก็กลับมาได้ ซึ่งก็รวมถึงเกมรอบตัดเชือกสดๆ ร้อนๆ ที่ได้ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ตัวสำรอง ลงมาซัดประตูชัยดับ เนเธอร์แลนด์ รอดูกันว่า อังกฤษ จะสามารถแก้ตัว และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกได้หรือไม่ หลังจากที่ผิดหวังในหนก่อน ที่แพ้ดวลจุดโทษ อิตาลี ในรอบชิงฯ ยูโร 2020 

ทำเนียบแชมป์ ยูโร

1960 : สหภาพโซเวียต 

1964 : สเปน

1968 : อิตาลี 

1972 : เยอรมนี (สมัยเป็น เยอรมันตะวันตก)

1976 : สาธารณรัฐเช็ก (สมัยเป็น เชโกสโลวาเกีย) 

1980 : เยอรมนี (สมัยเป็น เยอรมันตะวันตก)

1984 : ฝรั่งเศส 

1988 : เนเธอร์แลนด์ 

1992 : เดนมาร์ก 

1996 : เยอรมนี 

2000 : ฝรั่งเศส 

2004 : กรีซ 

2008 : สเปน 

2012 : สเปน 

2016 : โปรตุเกส 

2020 : อิตาลี