อโมริมจะเป็นยังไง! ผลงานคุมทีมเกมลีกแมตช์แรกกุนซือ แมนยู ยุคพรีเมียร์ลีก

เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะ แมนยู เคยมีกุนซือเปิดตัวเกมพรีเมียร์ลีกผลงานไม่ดี แต่ท้ายที่สุดคว้าแชมป์มากมาย

รูเบน อโมริม กุนซือใหม่แกะกล่อง “ปีศาจแดง” ได้รับการคาดหมายว่ามีแคแรกเตอร์ที่อาจจะนำสโมสรกลับคืนสู่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง นับตั้งแต่สิ้นยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อปี 2013 

นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ต้องรอถึงช่วงพักเบรกทีมชาติถึงได้อำลา สปอร์ติ้ง ลิสบอน เพื่อมาทำงานในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แทนที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามากุมบังเหียนชั่วคราว แทน เอริค เทน ฮาก ที่โดนปลดออกจากตำแหน่งช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

อโมริม เตรียมทำหน้าที่คุม แมนยู อย่างเป็นทางการในเกมเยือน อิปสวิช ทาวน์ ที่พอร์ทแมน โร้ด วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายเขาอย่างมาก เพราะจะได้ชิมลางเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างแท้จริง และแน่นอนว่าเจ้าตัวคงต้องเจอแรงกดดันมหาศาลในการเปิดตัวเกมแรก เพราะมีความคาดหวังสูงมาก

สำหรับผู้จัดการทีม แมนยูไนเต็ด ก่อนหน้านี้ทั้งแบบชั่วคราว และถาวรผลงานเป็นอย่างไรในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดแรกที่พวกเขาลงทำหน้าที่ บอกเลยว่ามีคนที่อาจจะเริ่มต้นไม่สวย แต่ปลายทางเป็นตำนานเลยทีเดียว 

รุด ฟาน นิสเตลรอย  ปี 2024

ฟาน นิสเตลรอย เริ่มต้นและจบการทำหน้าที่ 4 แมตช์ด้วยการทุบ เลสเตอร์ ซิตี้ เพราะเขาคุมเกมนัดแรกเจอทัพ “สุนัขจิ้งจอก” ในเกมคาราบาว คัพ และปิดฉากการทำงานดวลกับทีมเดินในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

ตำนานดาวยิงแมนยูไนเต็ด ลงประเดิมการทำหน้าที่ในเกมพรีเมียร์ลีก พบ เชลซี ผลจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 แต่บอกเลยว่า “ปีศาจแดง” มีโอกาสที่จะชนะมากกว่า ถ้าหากไม่ยิงทิ้งยิงขว้างไปหลายครั้ง

บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดจุดโทษให้ทีมขึ้นนำ 1-0 แต่ มอยเซส ไกเซโด้ ตะบันประตูสุดงามตีเสมอ ทำให้ทั้งสองทีมแบ่งแต้มกันไปในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และนี่คือเกมเดียวที่ “พี่ม้า” ไม่ชนะในการนั่งกุมบังเหียน แมนยู แบบชั่วคราว 

เอริค เทน ฮาก ปี 2022

สิ่งหนึ่งที่สามารถพูดออกมาได้ก็คือเริ่มต้นก็หายนะแล้วสำหรับ เทน ฮาก หลังจากที่เขานำ แมนยูไนเต็ด ออกสตาร์ทด้วยผลงานที่น่าใจหาย และทำให้แฟนบอล “ผีแดง” ผิดหวังอย่างแรก

“เร้ด เดวิลส์” แพ้ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 1-2 คา “โรงละครแห่งความฝัน” ในเกมเดบิวต์การคุมทัพของ กุนซือชาวดัตช์ โดย ปาสกาล กรอสส์ ซัดสองประตูให้ทีมเยือนในครึ่งแรก และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำเข้าประตูตัวเองในครึ่งหลัง 

ความบรรลัยยังคงตามมาหลอนต่อเนื่อง เพราะ แมนยู โดน เบรนท์ฟอร์ด ถล่มยับไม่นับญาติ 4-0 ในแมตช์ต่อมา และนั่นทำให้เจ้าตัวโดนกระแสโจมตีอย่างหนักถึงขนาดมีข่าวอาจโดนไล่ออกตั้งแต่ไก่โห่ 

สุดท้าย เทน ฮาก ก็นำทีมจบท็อปโฟร์ พร้อมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ กับการทำงานปีแรก และปีที่สองได้แชมป์เอฟเอ คัพ ขณะที่ปีที่สามเพิ่งจะทำงานได้ไม่กี่เดือน ก็เก็บข้าวของกลับบ้านเก่าเรียบร้อย 

ราล์ฟ รังนิค ปี 2021

กุนซือชาวเยอรมัน ค่อนข้างจะโดนยี้พอสมควรหลังได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทีม แมนยูไนเต็ด แบบชั่วคราว เมื่อเดือนธันวาคมปี 2021 แต่การทีชื่อของเขาถูกอ้างว่าเป็นอาจารย์เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้สาวก “เร้ด อาร์มี่” คาดหวังลึกๆ ว่าอาจจะได้เห็นอะไรเด็ดๆ ก็ได้

ตลอดระยะเวลาที่ รังนิค คุมทีมมีแต่เสียงบ่นเสียงตำหนิอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาหน่อย เพราะในช่วงเริ่มต้นเจ้าตัวสร้างผลงานได้น่าสนใจพอสมควร 

กุนซือขรัวเฒ่า สามารถนำ แมนยู ที่ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยปัญหาภายในมากมาย เปิดบ้านเฉือน “ดิ อีเกิ้ลส์” คริสตัล พาเลซ 1-0 จากผลงานของ เฟร็ด แต่หลังจากนั้นฟอร์มของทีมเป็นยังไง ไปถามแฟนบอล “ผีแดง” เอาเองก็แล้วกัน !!! 

ไมเคิ่ล คาร์ริค 

ฟาน นิสเตลรอย ไม่ใช่กุนซือขัดตาทัพคนแรกที่เปิดตัวในการคุมทีมลงเล่นเกมลีกพบ เชลซี และสกอร์จบ 1-1 เหมือนกัน เพราะ คาร์ริค ก็เคยเจอกับประสบการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว

อดีตกองกลางแมนยูไนเต็ด เข้ามาทำงานแทนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในช่วงระยะเวลาสั้นปี 2021  หลัง กุนซือซูเปอร์ซับชาวนอร์เวย์ โดยอัปเปหิออกจากสโมสรเมื่อนำทีมแพ้ยับ วัตฟอร์ด 1-4

คาร์ริค ต้องเจอกับโปรแเกรมสุดหิน 2 แมตช์ตอนที่คุมทีม นั่นก็คือเกมเยือน “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ และเปิดบ้านรับมือ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

อย่างไรก็ตามเขาสามารถนำทีมเก็บได้ 4 แต้มจาก 2 เกมดังกล่าว ซึ่งต้องขอบคุณประตูของ เจดอน ซานโซ่ แมตช์เสมอ เชลซี 1-1 จากนั้นก็ กัปตันบรูโน่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เฉือนชนะ “เดอะ กันเนอร์ส” 3-2 ก่อนที รังนิค จะเข้ามาสานงานต่อ 

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ปี 2018

สำหรับ “น้าลูกอม” ทำหน้าที่คุมทีมเกมพรีเมียร์ลีก แมตช์แรกด้วยการไปเยือนหนึ่งในต้นสังกัดเก่าของเขาสมัยที่เริ่มทำงานโค้ช นั่นก็คือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ซึ่งบอกเลยว่าผลงานโคตรสุดยอด

โซลชา เริ่มต้นได้อย่างสวยงามที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ เมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด ระเบิดฟอร์ดซัดประตูให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ 3 นาทีแรก หลังจากนั้นหลายๆ อย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทีมได้ประตูจาก อันเดร์ เอร์เรร่า , อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ เจสซี่ ลินการ์ด จบเกมพวกเขาถล่มเจ้าบ้าน 5-1 

ยังไม่หมดแค่นั้น ตำนานดาวยิงซูเปอร์ซับแมนยูไนเต็ด สร้างสถิติไร้พ่าย 12 เกมแรกในลีก พร้อมกับคว้าชัยชนะไปถึง 10 แมตช์ซึ่งนั่นนำไปสู่วลีเด็ดของแฟนผีก็คือ “ปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ” และยังทำให้เขาได้รับสัญญาคุมทีมถาวรด้วย 

แต่หลังจากนั้นผลงานเป็นยังไง คงไม่ต้องพูดเพื่อสะกิดบาดแผลสาวก “เร้ด อาร์มี่” ทั่วโลก !!!

โชเซ่ มูรินโญ่ ปี 2016

มูรินโญ่ มาพร้อมกับความคาดหวังมหาศาลเหมือนกับ อโมริม และ เทน ฮาก เพราะประวัติการทำงานบวกกับความสำเร็จในการคุมทีม มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของแมนยูกำลังจะกลับมา

“เฮียมู” เริ่มต้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อในการคุมทีมลงสนามศึกพรีเมียร์ลีก เขานำ แมนยูไนเต็ด คว้าชัย 3 แมตช์แรก รวมทั้งแมตช์เปิดตัวที่ทุบ บอร์นมัธ 3-1 จากผลงานของ ฆวน มาต้า, เวย์น รูนี่ย์ และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช 

นายใหญ่ชาวโปรตุกีส สามารถนำทีมขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงในช่วงระยะเวลานั้น และทำให้แฟนบอล “ผีแดง” ประกาศก้องว่า “พวกข้ากลับมาแล้ว” แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทาบชั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้

อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ได้สร้างความสุขให้กับแฟนบอลในฤดูกาลแรกที่ทำงาน เมื่อนำทีมคว้าแชมป์คาราบาว คัพ และยูฟ่า ยูโรปา ลีก แต่เป้าหมายสูงสุดของทีมก็คือพรีเมียร์ลีก ซึ่งเขาทำไม่ได้ก็ต้องประเด็นออกจากตำแหน่ง 

หลุยส์ ฟาน กัล ปี 2014

“จารย์หลุยส์” ถือเป็นหนึ่งในยอดกุนซือของวงการลูกหนังโลก แต่ตอนที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้คุมแมนยูไนเต็ด มันผ่านช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของเจ้าตัวไปแล้ว แต่เรื่องอีโก้ยังคงมีอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม

ฟาน กัล เปิดตัวในการคุม “ผีแดง” เกมลีกด้วยผลงานสุดขายหน้าเมื่อแพ้คาบ้านให้กับ สวอนซี ซิตี้ 1-2 ซึ่งแน่นอนว่าทำเอาแฟนบอลแมนยูไนเต็ด เซ็งไปตามๆ กัน เพราะไม่คิดว่าทีมรักจะเริ่มต้นได้น่าผิดหวังแบบนี้

หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ได้ดีขึ้นในทันทีหลังจาก เฮดโค้ชชาวดัตช์ นำทีมเสมอ ซันเดอร์แลนด์ และ เบิร์นลี่ย์ ก่อนที่เขาจะควานหาชัยชนะแรกในเกมพรีเมียร์ลีก แมตช์สอย ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส

หากพูดกันแบบแฟร์ๆ ฟาน กัล เริ่มต้นการทำงานด้วยผู้เล่นกองหลังที่ประสบการณ์น้อย (ในเวลานั้น) ถึง 3 รายได้แก่ ไทเลอร์ แบล็คคิตต์, ฟิล โจนส์ และ คริส สมอลลิ่ง ในการสู้กับ สวอนซี ขณะที่ ลินการ์ด กับ เอร์เรร่า ต้องออกจากสนามเนื่องจากบาดเจ็บ 

อย่างไรก็ตาม ฟาน กัล สามารถทำให้แฟนบอลมีความสุขจากการนำทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 2016 แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขามีโอกาสทำงานต่อ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วันก็โดนบอร์ดบริหารปลด และแต่งตั้ง มูรินโญ่ เข้ามาแทนที่ 

ไรอัน กิ๊กส์ ปี 2014

ตำนานปีกพ่อมด เข้ามารับเผือกร้อนในการคุม แมนยูไนเต็ด ในช่วงท้ายของฤดูกาล 2013/2014 เพื่อแทนที่ “บุรุษผู้ถูกเลือก” เดวิด มอยส์ โดยต้องคุมทีมลงสนามเกมพรีเมียร์ลีก 4 แมตช์สุดท้าย

กิ๊กส์ เริ่มต้นอย่างหรูด้วยการนำทีมถล่ม “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ 4-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยเป็นผลงานของ รูนี่ย์ และ มาต้า คนละสองประตู ขณะที่ คาร์ริค ยังเป็นตัวจริงในแผงมิดฟิลด์

ตอนนั้นเจ้าตัวทำหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมในแมตช์แพ้ ซันเดอร์แลนด์ 0-1 หลังจากนั้นก็ทุบ ฮัลล์ ซิตี้ 3-1 และจบงานด้วยผลงานบุกเสมอ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1

เดวิด มอยส์ ปี 2013

“บุรุษผู้ถูกเลือก” เข้ามารับงานในฐานะกุนซือที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รับรองว่าเหมาะสมที่จะเป็นทายาทอสูรของเขา แต่บอกเลยว่าทุกอย่างมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะงานคุม แมนยู แตกต่างจาก เอฟเวอร์ตัน อย่างสิ้นเชิง

มอยส์ เริ่มต้นด้วยผลงานระดับมาสเตอร์พีซด้วยการชนะ สวอนซี ซิตี้ 4-1 ถึงดินแดนเวลส์ โดย โรบิน ฟาน เดอร์ซี่ และ แดนนี่ เวลเบ็ค สวมบทฮีโร่เหมาคนละสองประตู ขณะที่ในตอนนั้นทีมยังอุดมไปด้วยแข้งชั้นนำ อาทิเช่น ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช และ คาร์ริค เป็นต้น

อย่างไรก็ตามฟอร์มการเล่นในลีกของ แมนยู ในยุค มอยส์ ค่อยๆ สาละวันเตี้ยลงอย่างรวดเร็ว โดยเขานำทีมแพ้ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน จากการคุมทีม 6 เกมแรก

การทำงานของ กุนซือชาวสกอตติช จบลงในช่วงท้ายฤดูกาล และ กิ๊กส์ ต้องเข้ามารับงานคุมทีมชั่วคราว 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เฟอร์กูสัน เคยเจอกับความผิดหวังในการคุม แมนยูไนเต็ด เกมลีกแมตช์แรกในยุคที่มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ดิวิชั่น 1” เป็น “พรีเมียร์ลีก” ด้วยการแพ้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1-2 ที่บรามอลล์ เลน 

ไบรอัน ดีน ได้รับการจารึกชื่อว่าเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูในยุคพรีเมียร์ลีก หลังจากนั้นก็มาทำประตูที่สองด้วยการซัดจุดโทษก่อนหมดเวลาครึ่งแรก แม้ “ผีแดง” จะตีไข่แตกได้จาก มาร์ค ฮิวจ์ส แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บใจ

อย่างไรก็ตามหัวเราะทีมหลังย่อมดังกว่า เพราะสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนั้น ( 1992/1993) และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของพวกเขา โดยป๋ากลายเป็นมหาบุรุษด้วยการสร้างสถิตินำทีมคว้าแชมป์ลีกเบ็ดเสร็จ 13 สมัย