อดีตแข้งเทพ สวีเดน! โทมัส โบรลิน บัลลงดอร์อันดับ 4 ผันตัวขายเครื่องดูดฝุ่น

นักฟุตบอลอาชีพจำนวนมากหลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว มักจะหันไปทำงานเป็นโค้ช, นักวิเคราะห์เกม หรืออยู่ในแวดวงลูกหนัง แต่สำหรับ โทมัส โบรลิน ตำนานจอมทัพทีมชาติสวีเดน จะผันตัวเองไปขายเครื่องดูดฝุ่น

ในยุครุ่งเรืองของ โบรลิน เจ้าตัวได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ และเคยสร้างผลงานได้อย่างสุดยอดจนได้รับการโหวตคว้าอันดับ 4 ในการชิงบัลลง ดอร์ หรือ “บอลทองคำ” เมื่อปี 1994 ซึ่งหลังจากนั้นอีก 4 ปีเจ้าตัวก็ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ด

อดีตนักเตะเจ้าของฉายา “โกลเด้น บอย” ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ตอนเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ ปาร์ม่า จำเป็นต้องเลิกเล่นก่อนวัยอันควรเนื่องจากปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง และน้ำหนักตัว แต่ในช่วงวัย 28 ปีเจ้าตัวยังมีเวลาอีกหลายปีที่จะกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา 

แล้วทำไมชายผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลชาวสวีดิชที่เก่งที่สุดตลอดกาล จึงตัดสินใจหันหลังให้วงการลูกหนังไปขายเครื่องดูดฝุ่น และเล่นไพ่โป๊กเกอร์แทนล่ะ ?

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการพบกันระหว่าง โบรลิน กับนักประดิษฐ์ชื่อโกรัน เอ็ดลุนด์ ซึ่งเขาได้พัฒนาเครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบา, ประสิทธิภาพสูง และทำความสะอาดได้ง่ายกว่ารุ่นอื่นๆ โดยประสิทธิภาพของเครื่องถูกอกถูกใจพ่อบ้านแม่บ้านที่รักความสะอาดอย่างมาก

เอ็ดลุนด์ กำลังมองหานักลงทุน และ โบรลิน ก็ให้ความสนใจเขาจึงเข้ามาซื้อหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ในบริษัททวินเนอร์ (Twinner)  แบรนด์เครื่องดูดฝุ่นที่ยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยมทั้งในสวีเดน และสหราชอาณาจักร

“เขาเป็นคนแปลก ๆ… นักประดิษฐ์ เขาเสนอไอเดียใหม่สำหรับเครื่องดูดฝุ่นชนิดใหม่ ผมรู้สึกประทับใจและเริ่มก่อตั้งบริษัทกับเขา แรงกระตุ้นนั้นทำให้ผมไม่อยากกลับไปในวงการฟุตบอลอีกเลย” โบรลิน เปิดใจกับ “ลา กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต” สื่อกีฬาดังในอิตาลี 

“ตอนนั้น ทุกคนบอกกับผมว่าเพิ่งอายุ 28 ปี มันเร็วเกินไปที่จะแขวนสตั๊ด แต่ผมตอบกลับไปว่า -มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไรไปบ้างในวัย 28 ปี- ผมทำสำเร็จมาเยอะแล้ว ชีวิตสั้นเกินกว่าจะไปทำเรื่องน่าเบื่อ ผมไม่ทำสิ่งที่ผมไม่สนุกที่จะทำ”

“ผมอยากทำอะไรมากกว่านั้น ในหัวของผมพยายามมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ และการทำธุรกิจก็เป็นประโยชน์สำหรับผม ผมได้ค้นพบโลกใบใหม่, เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และท้าทายตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ถ้าผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมสรุปได้ว่าผมอยากท้าทายตัวเองในทุกด้านเสมอ ผมทำแบบนั้นกับฟุตบอล และทำแบบเดียวกันกับวงการธุรกิจ” โบรลิน ระบุ

การก้าวเข้าสู่โลกใหม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาชีพนักฟุตบอลของ โบรลิน จบลงทันที

ย้อนกลับไปช่วงเป็นนักเตะอาชีพ โบรลิน ถือว่าประสบความสำเร็จมากมาย โดยนำ สวีเดน คว้าอันดับ 3 ในศึกเวิลด์ คัพ 1994 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาจนถึงปัจจุบันนี้ และเคยได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลสวีเดนยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ครั้ง

ในระดับสโมสร โบรลิน โดดเด่นมากๆ ตอนเล่นให้ ปาร์ม่า ในช่วงทศวรรษ 90 โดยเป็นหนึ่งในขุนพลที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (ยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว), ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ โคปปา อิตาเลีย 

นอกจากนี้ โบรลิน ยังเป็นชื่อที่แฟนบอลอังกฤษหลายคนคงจำได้ดี หลังจากที่เขาทำประตูสำคัญที่ทำให้ทีมของกุนซือเกรแฮม เทย์เลอร์ ตกรอบยูโร 1992 

ในเดือนพฤศจิกายน 1995 โบรลิน ย้ายไปเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยุคโฮเวิร์ด วิลกินสัน ด้วยสถิติค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์ (ราว 198 ล้านบาท) แต่กระนั้นมีความกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักของเขาอยู่พอสมควร 

ลีดส์ เพิ่งจบฤดูกาลในอันดับห้าในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ โบรลิน มีโอกาสที่จะเร่งสปีดอาชีพของตัวเอง แต่เขาเพิ่งโดนอาการบาดเจ็บข้อเท้าเล่นงานอย่างรุนแรงในช่วงซัมเมอร์ปี 1994 และแทบไม่ได้ลงเล่นในปีสุดท้ายที่ปาร์ม่า

ช่วงแรกทุกอย่างดูโอเค โดย โบรลินได้รับฉายาว่า  “เพชฌฆาตหน้าเด็ก” อย่างรวดเร็ว แต่ความชื่นชมนี้อยู่ไม่นานนัก เพราะสภาพร่างกายของเขาเริ่มถดถอยและฟอร์มการเล่นตกลง ช่วงเวลานั้น วิลกินสัน ไม่ประทับใจกับทัศนคติเรื่องความทุ่มเทของนักเตะ แต่ โบรลิน กลับมองโลกในแง่ดี

“เมื่อคุณไม่ได้ลงเล่นเกือบทั้งปีแบบผม คุณต้องการเวลา ผมก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก อาจมากกว่าที่ผมคิดไว้ ฟุตบอลที่นี่เร็วและหนัก ทุกเกมไม่มีเกมง่ายๆ ผมมีทางเลือกที่จะย้ายออกเมื่อจบฤดูกาล แต่ผมยังอยากทำผลงานให้ดีและประสบความสำเร็จในอังกฤษ”

หนึ่งในเหตุผล โบรลิน ฟอร์มไม่โดดเด่น เพราะตอนที่ย้ายมาเล่นกับ ลีดส์ นักเตะเข้าใจว่าจะได้เล่นบทบาทตัวรุกกลางสนาม แต่กลับถูกใช้งานเป็นกองหน้า หรือเล่นทางกราบขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาไม่คุ้นเคยนัก

เรื่องราวที่แย่ที่สุดเกิดขึ้นตอนที่ โบรลิน ให้สัมภาษณ์เล่นๆ กับโทรทัศน์สวีเดนในวัน “เมษาหน้าโง่” (April Fools) จนกลายเป็นปัญหา โดยเขสล้อเล่นว่าตัวเองจะย้ายแบบยืมตัวไปอยู่กับ ไอเอฟเค นอร์โคปิ้ง ทีมในบ้านเกิด แต่สื่อดันคิดจริงจัง และตีข่าวไปทั่วโลก เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเองจะต้องออกจากทีมจริงๆ

ช่วงซัมเมอร์ 1996 แค่ปีเดียวหลังย้ายมาเล่นในอังกฤษ ทัพ “ยูงทอง” พร้อมจะขายเขาในราคา 2 ล้านปอนด์ (ราว 88 ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของค่าตัวที่พวกเขาซื้อมาตอนแรก

ต่อมาในฤดูกาล 1996/97 โบรลินถูกปล่อยยืมตัวไป ซูริก (ค่าเหนื่อย 800 ปอนด์ต่อสัปดาห์) และ ปาร์ม่า หลังจากเขากลับมาช่วงปลายซัมเมอร์ นักเตะต้องเจอกับผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เขาเรียกว่าเป็น “ห่วยกว่า” วิลกินสัน นั่นคือ จอร์จ เกรแฮม

ขณะเดียวกับ โบรลิน ก็ทำตัวเองเช่นกัน เมื่อเขาเดินทางมาร่วมทีมปรีซีซั่นช้า โดยเหตุผลที่เจ้าตัวอ้างก็คือนกชนกระจกหน้ารถทำให้เดินทางล่าช้าและพลาดขึ้นเครื่องบิน เมื่อเขามาถึงสโมสร เกรแฮม ก็เอาหนังสือเดินทางของเขาเก็บเอาไว้ในตู้และล็อกปิดเอาไว้ ขณะที่ทุกคนในทีมออกไปทัวร์แล้ว

การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เป็นที่ต้อนรับอีกต่อไป โบรลิน ไม่ได้รับอนุญาตให้ชมเกมลีดส์ที่ เอลแลนด์ โรด แบบฟรีๆ โดยตอนนั้นเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “การรังแก” ขณะที่ เกรแฮม ตราหน้าเขาว่า “คนไม่ให้เกียรติ”

จากนั้น โบรลิน โดนขายทิ้ง โดยย้ายไปอยู่กับ คริสตัล พาเลซ ซึ่งโดนวิจารณ์ว่า “อ้วนเกินไปที่จะเล่น” และสุดท้ายทีมตกชั้น เขาเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับ ฮูดิกสวัลล์ เอบีเค ทีมสวีเดนระดับดิวิชั่น 4 ในปี 1998 หลังลงเล่นเพียงเกมเดียว  จบอาชีพอย่างเรียบง่าย

ชื่อเสียงของ โบรลิน ในวงการฟุตบอลอังกฤษถือว่าแย่มาก ในปี 2003 แฟนบอลลีดส์โหวตให้เขาเป็นผู้เล่นที่แย่ที่สุดในความทรงจำของสโมสร และในปี 2007 ชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งพังยับเยิน เมื่อ “เดอะ ไทม์ส”สอบถามแฟนบอลว่า ใครคือผู้เล่นที่แย่ที่สุดในลีกสูงสุดตั้งแต่ปี 1970 เบอร์ 1 ก็คือ โบรลิน !!! 

ชีวิตในวงการลูกหนังของ โบรลิน มีขึ้นมีลง แต่การทำธุรกิจเครื่องดูดฝุ่น ดูเหมือนจะมีแต่ขึ้นอย่างเดียว !!