“ไอ้ค้างคาว” บาเลนเซีย จัดเป็นทีมใหญ่ ที่มีแฟนบอลบ้านเราคอยติดตามไม่น้อย
พวกเขาถือเป็นหนึ่งในสโมสรชั้นนำของยุโรป เคยได้แชมป์ ลา ลีกา มาแล้วหกสมัย และมีช่วงหนึ่งที่ครองความยิ่งใหญ่เหนือ บาร์ซ่า และ เรอัล มาดริด ด้วยการงาบถ้วยถึงสองในสามฤดูกาลคือ 2001-02 และ 2003-04 ภายใต้การนำของ ราฟาเอล เบนิเตซ และผู้เล่นชั้นยอดอาทิ รูเบน บาราฆา, ดาบิด อัลเบลด้า, บิเซนเต้ โรดริเกซ, ยอห์น คาริว, ปาโบล ไอมาร์ และ มิสต้า
และนี่คือสโมสร ที่ปั้นดาวเด่นขึ้นมาประดับวงการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ดาบิด ซิลบา, ราอูล อัลบิโอล, อีสโก้, ปาโก้ อัลกาเซร์ รวมถึงคู่หอกสะท้านโลก ดาบิด ซิลบา กับ เฟร์นานโด มอริเอนเตส
อย่างไรก็ตาม หลังโผล่ขึ้นมาประกาศศักดาบนแผ่นดินกระทิงดุได้พักหนึ่ง “ไอ้ค้างคาว” ต้องหลบฉากไปนั่งดู บาร์ซ่า, เรอัล มาดริด และ แอต. มาดริด ช่วงชิงความยิ่งใหญ่กัน
แต่ปีนี้ สถานการณ์แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ช่วงเวลาเดียวกันนี้ของซีซั่นที่แล้ว บาเลนเซีย ยังอยู่ใกล้โซนหนีตายแค่คืบ
กระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในถิ่น เมสตาย่า ช่วงขวบปีที่ผ่านมา
เชซาเร่ ปรันเดลลี่ ซึ่งนับเป็นกุนซือคนที่ห้าในรอบไม่ถึงปีของทีม จากไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก่อน เฆซุส การ์เซีย ปิตาช ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร จะลาออกตามไปอีกในเดือนมกราคม
โชคดีที่กุนซือชั่วคราวอย่าง โบโร่ กอนซาเลซ ช่วยให้ทีมหนีตายได้หวุดหวิด โดยจบอันดับ 12 เท่ากับฤดูกาลก่อนหน้า ก่อนประกาศขอยุติบทบาท ทำให้ “ไอ้ค้างคาว” ต้องนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
การนับหนึ่งใหม่อีกครั้งของพวกเขา ถือเป็นก้าวย่างที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
ผลงานนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลใหม่ของ บาเลนเซีย เฉียบขาดมาก
ณ จุดนี้ “ไอ้ค้างคาว” กำลังคืนชีพ ด้วยผลงานคว้าชัยเจ็ดนัดรวด ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่เล่น ลา ลีกา
โดยภายหลังเก็บชัยนัดล่าสุด พวกเขาตามหลัง บาร์เซโลน่า จ่าฝูงอยู่เพียงสี่แต้ม และนำอันดับสามอย่าง เรอัล มาดริด และอันดับสี่อย่าง แอต. มาดริด สี่แต้มเช่นกัน
อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จ เรามาวิเคราะห์ดูกัน…
1. เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว เมื่อ มาติเยอ อเลมานี่ อดีตประธานสโมสร เรอัล มายอร์ก้า ผู้มากบารมี ถูกแต่งตั้งให้รับบทบาทผู้อำนวยการทั่วไปให้สโมสรเมื่อเดือนมีนาคม ก่อนที่ให้หลังอีกเดือนเดียว อานิล เมอร์ตี้ จะเข้ามานั่งเก้าอี้บริหารในฐานะประธานคนใหม่
อเลมารี่ รู้ดีว่า หาก บาเลนเซีย ปรารถนาจะกลับไปสู่วันชื่นคืนสุขเก่า ไม่ใช่แค่เทรนเนอร์คนใหม่ที่สามารถติดตั้งแท็กติกที่เหมาะสมให้กับทีมได้เท่านั้น หากแต่พวกเขายังต้องการใครบางคนที่พร้อมเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานแบบเดิมๆ เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ
2. ว่าแล้ว มาร์เซลิโน่ การ์เซีย โตรัล จึงถูก อเลมานี่ ดึงเข้ามาช่วย หลังทำงานให้ บียาร์เรอัล นานถึงสี่ปี
เทรนเนอร์คนใหม่ เข้ามาล้างบางทีม พร้อมกับให้ความสำคัญกับผู้เล่นจากอคาเดมี่มากขึ้น โดยผสมผสานแข้งเก๋าประสบการณ์กับเลือดใหม่ที่พุ่งพล่านอย่างลงตัว
หน้าเก่าอย่าง นานี่, เอ็นโซ่ เปเรซ, อัลบาโร่ เนเกรโด้ และ ดีเอโก้ อัลเวซ ถูกโละ
ขณะที่พวกหน้าใหม่อย่าง ซิโมเน่ ซาซ่า, กาเบรียล เปาลิสต้า, กูเอเดส (ยืมตัว), เจฟฟรีย์ กงด๊อกเบีย, เจสัน มูริลโล่ รวมถึง อันเดรียส เปไรร่า ดาวรุ่งดีกรีทีมชาติบราซิลรุ่น ยู 23 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกกระชากเข้ามาสู่วังค้างคาวทั้งแบบซื้อขาด และยืมตัว
มาร์เซลิโน่ ล็อคสเปคไว้เลยว่า นักเตะใหม่ ต้องอายุไม่เกิน 26 ปี แต่ขณะเดียวกัน ดูแล้วควรต้องมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาไปต่อได้
เมื่อจับมาขยำรวมกับศิษย์เก่าโรงเรียนลูกหนังค้างคาวมาแล้วอย่าง การ์ลอส โซเลร์ และ โรดริโก้ ทุกอย่างก็เลย “คลิ๊ก”
3. “ไอ้ค้างคาว” ในวันนี้ เล่นเหมือนติดปีกบิน ต่อบอลกันรวดเร็ว โต้กลับเฉียบขาด และเชื่อว่า การครองบอลไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะแม้จะได้คอนโทรลเกม แต่ไม่มีประตู ก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นการขึ้นเกมรุกที่ทรงประสิทธิภาพโดยมีประตูกลับมาต่างหาก คือสิ่งสำคัญ
มาร์เซลิโน่ ชอบให้ลูกทีมจู่โจมคู่แข่ง เขาจึงเน้นมากเรื่องพละกำลัง ความแข็งแกร่งของสภาพร่งากาย และเน้นละเอียดไปถึงนักโภชนาการผู้ดีไซน์มื้ออาหารให้นักเตะ
เสียบอล ก็ต้องรีบแย่งคืนโดยเร็ว ทุกอย่างต้องเคลื่อนไหวเป็นองคาพยพ
การเปลี่ยนเกมรับให้เป็นเกมรุกอย่างรวดเร็ว คือกลยุทธ์ทีเด็ดของ มาร์เซลิโน่
4. บาเลนเซีย กลายเป็นทีมที่เล่นแบบดุดันด้วยทัศนคติการเล่นแบบใหม่ที่ มาร์เซลิโน่ ปลูกฝังให้
การันตีด้วยค่าเฉลี่ยการทำฟาวล์ที่มากสุดในลีก แต่ใครเล่าจะแคร์ ในเมื่อพวกเขากำลังส่งสัญญาณว่า วันดีคืนดีเดิมๆ กำลังจะกลับสู่ เมสตาย่า อีกครั้ง
… 26 พฤศจิกายนนี้ กรุณาวงวันที่บนปฏิทินไว้เลยครับ เพราะ บาเลนเซีย โฉมใหม่ในฐานะรองจ่าฝูง มีคิวเปิดถ้ำรับ บาร์เซโลน่า…