ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีก ที่สามารถโค่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ในฤดูกาลนี้ คำถามคือ หงส์แดงทำได้อย่างไร ในสภาพทีมที่ไม่มีทั้ง คูตินโญ่ และ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์
สื่ออังกฤษ ได้วิเคราะห์กันออกมาในหลายประเด็น
1) ไม่ให้เอแดร์ซอน ได้เริ่มเซ็ตเกม
เกมของแมนฯซิตี้ ไม่ใช้การโยนยาว แต่พวกเขาจะค่อยๆเซ็ตเกมตั้งแต่ผู้รักษาประตู เอแดร์ซอน เกมนี้ คล็อปป์ สั่งให้แนวรุก ไล่บี้ตั้งแต่เตะจากเขตประตู กดดันฟูลแบ็กทั้งสองข้าง ทั้งฟาเบียน เดลฟ์ และ ไคล์ วอล์กเกอร์ (รวมถึงดานิโล่ ที่ลงมาสำรอง) เมื่อเรือใบขึ้นเกมยาก ก็ต้องใช้การสาดยาว นั่นทำให้สุดท้ายเสียบอลให้หงส์แดง
2) จับตายเดอ บรอยน์
ในเกมที่แล้ว ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เดอ บรอยน์เล่นได้อย่างโดดเด่น จนถล่มหงส์ไป 5-0 นัดนี้ คล็อปป์สั่งการให้ จินี่ ไวจ์นัลดุม จับตาย ไปไหนไปด้วย ทำให้เดอ บรอยน์เล่นได้ยากขึ้น ในเกมนี้ เดอ บรอยน์ ก็ยังเล่นดี แต่สุดท้าย ไม่มีทั้งประตู และแอสซิสต์ที่เกิดขึ้นจากฝีเท้าของเขา
3) โจมตีด้วยการยิงไกล
4 ประตูของหงส์แดง มาจากการยิงด้านในเขตโทษ 1 ลูก (ฟีร์มีโน่) , ยิงบนเส้นเขตโทษพอดี (มาเน่) และ อีก 2 ลูกมาจากการยิงนอกเขตโทษ (แชมเบอร์เลน,ซาลาห์) การโจมตีที่หลากหลาย ทำให้แมนฯซิตี้รับมือได้ยากขึ้น หลายๆครั้งไม่ต้องฝืนทะลวงไปในเขตโทษ มีช่องยิงได้ก็ยิง
4) ใช้พละกำลังที่เหนือกว่า
เรื่องเทคนิค แมนฯซิตี้ อาจเป็นอันดับหนึ่งในลีก ดังนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้ด้วยการดวลเทคนิคกัน การใช้พละกำลังเข้ากระแทก เข้าทำลายจังหวะ ก็ทำให้เกมของแมนฯซิตี้เสียได้เหมือนกัน ในเกมนี้ เราเห็นจังหวะที่แชมเบอร์เลน กระแทกดานิโล่จนกระเด็น รวมถึงจังหวะที่ ฟีร์มีโน่ กระแทก จอห์น สโตนส์จนปลิว และยิงลูกนำ 2-1 คือในเมื่อแนวรับซิตี้ เทคนิคดี ก็ต้องใช้พลังเข้าสู้
5) ต้องมีกองกลางที่แข็งแกร่ง
เกมของแมนฯซิตี้ จะต่อบอลกันอย่างรวดเร็ว ถ่ายบอลกันในสไตล์ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดังนั้นกองกลางถ้าต้องเจอกับเรือใบ จำเป็นต้องวิ่งไล่ วิ่งสู้ ไม่มีหมด เพื่อไม่ให้แมนฯซิตี้ ถ่ายบอลได้ถนัด ตอนลิเวอร์พูลมีเอ็มเร่ ชานอยู่ในสนาม พวกเขาคุมตรงกลางได้ แต่พอเปลี่ยนชานออก เอาเจมส์ มิลเนอร์ลงมาแทน เห็นชัดว่าเกมตรงกลางเป็นรอง เพราะมิลเนอร์ไม่ได้มีความเร็ว และความแข็งแกร่งเท่าชาน เป็นจุดเริ่มต้นให้ซิตี้คัมแบ็กกลับมาได้