เว็บญี่ปุ่นตีบทความยก”ช้างศึก”กำลังก้าวสู่ทีมชั้นนำเอเชีย

เว็บไซต์ซ็อคเกอร์คิง สื่อดังของญี่ปุ่น ออกมาตีบทความถึงขุนพลจากฝั่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ว่ากำลังพัฒนาตัวเองจากอาเซียนไปสู่ทีมชั้นนำของเอเชีย เนื่องจากมองว่าแข้งสายเลือดใหม่กำลังเติบโต และกำลังเติมเต็มไปด้วยประสบการณ์ในโลกลูกหนังหลายราย

          เว็บไซต์ของญี่ปุ่นอย่าง www.soccer-king.jp ได้ออกมาตีบทความถึงททีมชาติไทย ในหัวข้อที่ว่า “ไทยเเลนด์ – จากจ้าวอาเซียนสู่ทีมชั้นนำของเอเซีย” ซึ่งได้มองถึงพัฒนาที่มีมาหลายปีของขุนพลจากฝั่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเนื้อหามีดังต่อไปนี้

 

ทีมชาติไทย อดีตทีมที่เคยเป็นทีมชั้นนำแห่งทวีป ผู้ที่เคยสามารถเอาชนะทีมญี่ปุ่นได้เมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมาอันเเสนยาวนาน แม้ว่านับตั้งแต่ปีที่2000 ทีมชาติไทยได้เข้าสู่โหมดของความตกต่ำแต่ในปัจจุบันเขาได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างมากและกำลังจะก้าวกลับเข้าสู่อดีตที่เป็นทีมที่ทรงพลังและเเข็งแกร่ง เรากำลังพูดถึงทีมหนึ่งที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้และผมอยากให้คุณได้มาติดตามพัฒนาการของพวกเขาตามลำดับ

 

การกลับมาท้าทายทีมชั้นนำของเอเซีย

 

              ในวันที่ 17ธ.ค.2016 ที่ผ่านมา ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ที่กรุงเทพ ทีมชาติไทยสามารถคว้าเเชมป์เอเอฟเอฟ ได้เป็นอีกหนและถือเป็นครั้งที่ห้าในรายการนี้ แม้ว่าในเกมเเรกพวกเขาจะปราชัยต่อทีมชาติอินโดนีเซียมาก่อน 1-2 แต่การกลับมาลงเล่นในบ้านต่อหน้าแฟนบอลมากถึง 45,000 คนก็ทำให้พวกเขามีกำลังและสามารถกลับมาชนะในบ้านได้ถึง 2-0และคว้าถ้วยรายการนี้ได้สำเร็จ ประกาศให้ภูมิภาคอาเซียนได้รู้ว่าเขายังคงเป็นผู้นำในย่านนี้

 

เมื่อ2ปีก่อน ทีมไทยได้เริ่มเเสดงให้เราทุกคนได้เห็นถึงระดับพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่มตั้งแต่ในรายการคัดเลือกโอลิมปิกในเดือนม.ค. การแพ้ญี่ปุ่นถึง 4-0 แม้จะดูเหมือนว่าเป็นสกอร์ที่ค่อนข้างห่าง แต่การเสมอได้ทั้งทีมซาอุฯและแม้กระทั่งเกาหลีเหนือซึ่งทั้ง2ทีมล้วนเป็นทีมระดับหัวเเถวของทวีปก็แสดงให้เห็นว่าทีมชาติไทยมีการพัฒนาทีมที่รวดเร็วและดีขึ้นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในบอลโลก รอบคัดเลือกรอบสอง การเสมอทีมอิรักได้ทั้งไป-กลับและเข้ารอบด้วยการมีอันดับที่ดีกว่าอิรักยิ่งเเสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเเข่งแกร่งขึ้นกว่าเเต่ก่อน นี่เป็นอีกครั้งที่ทีมไทยสามารถทะลุเข้ามาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายได้สำเร็จนับตั้งแต่ปี2002 ที่ ญี่ปุ่น เเละ เกาหลีใต้ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก แม้ว่าในหนนั้นทีมอย่างออสเตรเลียจะยังไม่ได้เข้ามาร่วมการเเข่งขันในโซนนี้และถือเป็นความโชคดีส่วนนึงในครั้งดังกล่าว ผมกำลังพูดถึงว่าการที่ทีมไทยได้เข้ามาในรอบนี้อีกหนไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกแต่พวกเขามาด้วยรูปแบบการเล่นที่ฉลาดและพัฒนาขึ้น บางทีทีมนี้อาจกำลังจะกลายเป็นทีมที่เเข่งแกร่งในระดับเอเซียในไม่ช้านี้ก็อาจจะเป็นไปได้

 

ประเทศไทยเป็นประเทศที่คลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมาก หากมองย้อนไปในอดีตอาจกล่าวได้ว่าทีมไทยเคยเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีมาก นับรวมได้4ครั้งที่ผมถือว่าเป็นที่สุดของกีฬาฟุตบอลในระดับทวีปของไทย มันมาจากไหนล่ะ?  2ครั้งในการทะลุเข้าสู่รอบสุดท้ายของการเเข่งขันโอลิมปิกในปี 1956 ที่เมลเบิร์น และปี 1968 ที่เม็กซิโก ซิตี้  และครั้งนึงในการได้อันดับที่ 3 ในเอเชียน คัพ ในรอบ 72 ปีของพวกเขาและสุดท้ายก็เมื่อครั้งเจ ลีกพึ่งเริ่มต้นจัดการแข่งขันหมาดๆ ในโอลิมปิกที่นครลอสแองเจอลิส ทีมไทยเคยชนะทีมญี่ปุ่นได้มากถึง 5-2 จากการทำแฮตทริกของสตาร์ดังของทีมชาติไทย อย่าง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน นั่นเป็นครั้งที่ทีมญี่ปุ่นเราต้องจดจำประวัติศาสตร์นี้ไปตลอด

 

ช่วงระหว่างปี 1990 จนถึงกลาง2000 ทีมไทยถือเป็นตัวแทนของยุคอันโชติช่วงที่สุดในกีฬาฟุตบอล ในปี1994 ทีมเยาวชนอายุไม่เกิน17ปีของพวกเขาสามารถทะลุเข้าสู่บอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกได้สำเร็จ ไทยมีผู้เล่นอย่างเทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่ลงเล่นในนามทีมชาติมากถึง131ครั้ง และทำสกอร์ได้มากถึงกว่า 70 ประตูถือเป็นนักเตะระดับตำนานของพวกเขา ในประเทศไทย, แฟนบอลของพวกเขาต่างขนานนามทีมในยุคนั้นว่านี่คือ “ดรีมทีม” ของการเเข่งขันห้ารายการติดกันระหว่างช่วงปี 1992 จนถึง 2007 ของไทย หลังจากยุคดังกล่าวทีมไทยตกลงสู่ยุคเเห่งความตกต่ำเมื่อนักเตะเจเนเรชั้นใหม่ไม่สามารถเข้ามาทดเเทนรุ่นพี่ได้ ความตื่นตัวในฟุตบอลน้อยลง นักเตะในนามทีมชาติเข้าร่วมการเเข่งขันเพียงแค่ลงไปเตะๆให้จบๆไปเท่านั้น ทีมชาติไทยกลายเป็นทีมที่แพ้บ่อยและดูน่าเบื่อจนเป็นที่มาของแนวความคิด “กลับมาตั้งหลักกันใหม่” มีการเปลี่ยนชื่อฉายาของทีมใหม่เป็น “ช้างศึก” เพื่อกระตุ้นแฟนบอลและนักกีฬาให้ตื่นตัวและกลับมาช่วยกันผลักดันทีม

 

การจากไปของตัวแทนที่เป็นฮีโร่ของทีม

 

ในปี 2010 สตาร์ใหม่ของทีมได้เริ่มออกมาฉายเเววมากขึ้น เมื่อลีกภายในประเทศได้เริ่มต้นและได้เริ่มการพัฒนาอย่างจริงจัง ในขณะที่ไทยเริ่มรู้ว่านักเตะเยาวชนของพวกเขาคือฐานโครงสร้างใหญ่ที่จะต่อยอดได้ในอนาคต แม้ว่าครั้งนั้นจะมีลีกภายในประเทศเป็นของตนเองเเล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าฟุตบอลยังไม่เป็นที่สนใจมากนักของประชาชนในประเทศ

 

14ปีผ่านไป ทีมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง และหนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนแปลงโค้ชทีมชาติ เมื่ออดีตตำนานนักเตะและกัปตันทีมอย่าง เกียรติศักดิ์ ได้เข้ามารับหน้าที่ให้ทำทีมในปี 2014 และเขาจัดการเซอร์ไพร์แฟนบอลของพวกเขาด้วยการเรียกนักเตะรุ่นๆหลายคนที่ขณะนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมาติดทีมชาติชุดใหญ่และทีมในยุคนั้นไม่มีแม้แต่เค้าโครงของสตาร์ดังเดิมหลงเหลืออยู่อีกเลย คงจะมีเพียงแค่ธีรศิลป์ แดงดาคนเดียวที่เป็นศูนย์หน้าที่พอมีชื่ออยู่บ้างและนั่นคือที่มาของการฉายเเววนักเตะไทยใหม่หลายคน ทั้งเมสซี่ เจ ชนาธิป สรงกระสินต์ ผู้เล่นที่แฟนบอลของพวกเขาเรียกกันว่า เมสซี่ไทย หรือเเม้กระทั่งแบ็คซ้าย จอมลุยอย่าง ธีราทร บุญมาทัน ที่ปัจจุบันถือเป็นหัวใจในแนวรับของทีม ที่ขณะนั้นทั้งสองคนถือว่ายังอายุน้อยมาก

 

การได้มาซึ่งตำแหน่งอันดับ4ในอินชอน เอเชี่ยนเกมส์ และเเชมป์เอเอฟเอฟในรอบ12ปีอีกครั้งหลังจากเกียรติศักดิ์เข้ามาได้ไม่นานส่งผลอย่างมากต่อฟุตบอลไทย แฟนบอลไทยตื่นตัวมากขึ้น และในปีต่อมาที่ซีเกมส์ ครั้งนั้นอาจกล่าวได้ว่านี่คือรายการโอลิมปิกของภูมิภาคเมื่อการเเข่งขันถูกจำกัดอายุผู้เล่นให้ไม่เกิน23ปี โดยโค้ชเกียรติศักดิ์จัดเเจงใช้ผู้เล่นอายุไม่เกิน23ปีตามกฎลงเเข่งขันในรายการดังกล่าวและสามารถยิงได้มากถึง 24ประตูเเละเสียเพียงประตูเดียว นี่คือผลงานที่เกินระดับอาเซียนไปเเล้ว

 

โมเมนตัมของทีมยังคงดีอย่างต่อเนื่อง ในปีต่อมาเมื่อการคัดเลือกโอลิมปิกที่จะไปเล่นรอบสุดท้ายที่นครริโอเดอจาเนโร บวกกับรายการคัดเลือกบอลโลก รอบสอง ทีมไทยยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องโดยในรายการหลังการขึ้นเป็นผู้นำและจบอย่างนั้นด้วยการไม่แพ้ใครเลยในกลุ่มถือเป็นข้อที่น่าสนใจ โอเค..การเสมออิรักได้ในบ้านของพวกเขาอาจฟังดูไม่แปลกใจเท่าไรนักแต่การลงเล่นที่เตะหะรานและเสมออิรักที่นั่นได้แบบน่าชนะด้วยซ้ำเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเซอร์ไพร์ไม่น้อย ครั้งนั้นแม้ว่าอิรักเองจะออกนำในช่วงพักครึ่งแต่ลูกทีมของเกียรติศักดิ์ก็ลงเล่นและกลับมาแซงนำได้ในช่วงครึ่งหลังเช่นกัน ก่อนทีมอาหรับจะตามตีเสมอชนิดที่ว่าน้ำลายเหนียวคอในช่วงทดเจ็บ นี่เป็นเกมที่พิสูจน์ให้เห็นว่าทีมไทยไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะมัวเเต่ตั้งรับเวลาเจอทีมที่เหนือกว่าอีกเเล้ว

 

ทีมชาติไทยกำลังจะกลับมายิ่งใหญ่และเเข็งเเกร่งอีกครั้ง เมื่อทุกครั้งที่ทีมของพวกเขาลงเล่นในบ้าน จะมีแฟนบอลอย่างน้อย4หมื่นคนให้การสนับสนุนเขาในสนาม และอีกมากมายภายนอกนั่นผ่านทางการถ่ายทอดสด ยิ่งเป็นในรายการสำคัญๆอย่างบอลโลก เราเเทบไม่เห็นเก้าอี้ว่างในสนามเสียด้วยซ้ำเพราะตั๋วขายหมดไปเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกๆ นี่อาจกล่าวได้ว่าไทยกำลังจะมี “ดรีมทีม2” เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

การไปบอลโลกให้ได้ซักครั้งถือเป็นความหวังอันสูงสุด

 

ด้วยผลงานในตารางคะเเนนปัจจุบันในรายการคัดเลือกบอลโลกรอบสาม ไทยอยู่บ้วยของกลุ่มเก็บได้เพียงเเต้มเดียวและเเพ้มากถึง4นัด แถมยังเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดในบรรดา12ทีมที่อยู่ในรอบเดียวกันนี้ นี่เเสดงให้เห็นถึงปัญหาในเกมรับของพวกเขาและเเสดงให้เห็นว่าทีมของเขายังขาดประสบการ์ณที่มากพอในรายการระดับทวีป การรับมือกับทีมที่มีประสบการ์ณเหนือกว่าพวกเขามากดูเหมือนจะเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับไทย

 

อย่างไรก็ตาม หากเรามาลองมองย้อนดูกลับไปในเเต่ละเกมที่ไทยลงเล่นจะเห็นได้ว่าไทยเองอาจไม่ค่อยมีโชคมากนักเเละพวกเขาเองมักเสียสมาธิอยู่บ่อยๆ เกมกับซาอุฯเอง บอกอย่างนั้นกับเรา การเสียประตูในช่วงท้ายเกมในนาทีที่84 ด้วยจุดโทษและทำให้ทีมกลับออกมาเเบบมือเปล่าเเสดงให้เห็นว่าทีมของพวกเขายังไม่สามารถรับมือกลับสถานการ์ณที่ต้องอาศัยสมาธิตลอดทั้งเกมได้ แม้ว่าในเกมดังกล่าวทีมไทยทำได้ดีถึงดีมากและดูเหมือนว่าเขาน่าจะต้องมีเเต้มในเกมนั้น การรับมือกับทีมญี่ปุ่นในนัดต่อมาก็เช่นกัน ทีมไทยมีฝันร้ายกับการเจอทีมญี่ปุ่นเสมอและลงเล่นด้วยความกลัวๆกล้าๆจนสุดท้ายก็เเพ้ไปในที่สุด เฉกเช่นเดียวกับการลงเล่นกับทั้งยูเออีและอิรัก คู่ต่อสู้ที่ดูเหมือนว่าน่าจะพอสู้ได้แต่ไทยเองก็ยังดูเหมือนยังเสียศูนย์อยู่เหมือนคนเมาหมัดและสุดท้ายก็เเพ้ไปในที่สุดเช่นกัน การเล่นในเกมสุดท้ายต่างกันกับใน4เกมเเรกเมื่อสถานการ์ณในช่วงเวลานั้นต่างกันออกไป ทีมไทยลงเล่นด้วยความฮึกเหิมและเริ่มต้นด้วยการจู่โจมผู้มาเยือนอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนว่าเขาคือทีมออสเตรเลีย เเชมป์ทวีป นั่นเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการเล่นจนนำไปสู่หนทางแห่งชัยชนะ จนทำให้ทีมจากเเดนจิงโจ้เกือบเอาตัวไม่รอดและกลับออกมาด้วยมือเปล่าหากไม่ได้2จุดโทษคอยช่วยไว้

 

ความน่าจะเป็นในเวลานี้สำหรับตั๋วไปรัสเซียของไทยดูเหมือนว่าจะน้อยมากแต่หากมองไปถึงอนาคตที่การ์ต้าในหนหน้าปี2022 ทีมไทยจะเป็นอีกทีมที่น่าจะเข้ามาเล่นในรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้ได้อีกหนสำเร็จเพราะการพัฒนาของลีกในประเทศ, สภาพเศรษฐกิจของประเทศ, การสนับสนุนของฐานแฟนบอลของพวกเขา

 

การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ถูกมองลึกลงไปในระบบสถาพเเวดล้อมในการเทรนนิ่ง เมื่อหลายสโมสรในไทยต่างเน้นในการพัฒนาเยาวชนของทีม เห็นได้จากการสร้างอะเคเดมี่ ยิ่งไปกว่านั้นการได้รับการสนับสนุนจากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยท่านวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรที่ต้องการเห็นการพัฒนาเยาวชนไทยก็ถือเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญของรากฐานฟุตบอลไทยและเป็นที่มาของวัตถุดิบชั้นดีในอนาคตสู่ทีมชุดใหญ่ โครงการยังไทย ยังทาเล้นซ์ บายเลสเตอร์ตอบโจทยืในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี และความร่วมมือกันระหว่างสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยและญี่ปุ่น รวมไปถึงเจลีกเอง ก็ยังก่อให้เกิดการเชิ่อมโยงกันแบบมีนัยสำคัญ เราอาจได้เห็นการโอนย้ายนักเตะระหว่างไทยลีกและเจลีกมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต

“นักเตะไทยหลายคนมีทักษะที่ดีและสามารถเล่นบอลได้อย่างคล่องแคล่ว และพาบอลไปในที่แคบได้ดี ทีมไทยเป็นทีมที่มีศักยภาพในการพัฒนาทีม ทั้งระบบเทคโนโลยี, และแนวทางการเล่นพื้นฐาน เพียงแต่ยังขาดความสม่ำเสมอ ดังนั้นการผลักดันและเทรนนิ่งที่ดีจะต้องเข้ามาช่วยเสริมในจุดนี้ ซึ่งจุดที่ผมกล่าวนี้หากได้รับการดูเเลอย่างมืออาชีพก็จะสามารถทำให้ไทยเป็นทีมที่มีการเล่นเป็นมาตราฐานของตัวเองที่ดีอย่างคงทนถาวรได้ในอนาคตเเน่นอน” มาซาโอะ คิบะ แอมบาสเดอร์ประจำเจลีก ญี่ปุ่นกล่าวกับเรา

 

แน่นอนว่า..ในตลาดนักเตะ นักเตะไทยจะเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากการที่ไทยมีนักเตะอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา ผู้ที่เคยไปสัมผัสบรรยากาศที่สเปนกับอัลเมเรียมาเเล้ว และเเม้กระทั่ง ดีลใหญ่อย่างชนาธิป กับซัปโปโร ก็ชี้ให้เห้นในข้อนี้ได้ดีว่านักเตะไทยกำลังเป็นที่สนใจของบรรดาสโมสรในระดับชั้นนำทวีป แม้ว่าเจ้าตัวจะมาเล่นในเลกสองในช่วงก.ค.นี้ก็ตาม และหากมันยังคงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่านักเตะไทยจะออกไปกอบโกยประสบการ์ณในต่างประเทศกับทีมชั้นนำในทวีปมากขึ้น และจะส่งผลดีต่อทีมชาติตามลำดับ ในอนาคตการไปบอลโลกอาจไม่ใช่ฝันสำหรับพวกเขาอีกต่อไป

 

การต่อสุ้กับทีมชาติไทย ทีมที่กำลังจะขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของทวีปได้เริ่มต้นขึ้นเล้วอีกครั้ง